‘วิญญัติ’ตั้งข้อสังเกต อัยการทหารสั่งไม่ฟ้อง 8 นายทหารร่วมสลายม็อบนปช.ปี 53

“วิญญัติ”ร่ายยาวตั้งข้อสังเกต ปม อัยการทหารสั่งไม่ฟ้อง 8 นายทหาร ร่วมฆ่าเหตุสลายชุมนุมนปช.ปี53 ชี้ไม่มีอำนาจรับคดีพิจารณาเป็นคดีเกี่ยวพันพลเรือน เตือนกระทำการไม่มีอำนาจย่อมผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และเลขาธิการสมาพันธ์ นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ในฐานะทีมทนายความของญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้ออกเเถลงการณ์ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่สำนักงานอัยการทหารได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา8รายซึ่งเป็นกลุ่มนายทหารที่ปฎิบัติหน้าที่บริเวณวัดปทุมวนารามวรวิหาร ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าที่เกี่ยวข้องกรณีการเสียชีวิตของนางสาวกมลเกด อัคฮาด เเละผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมปี 53 เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีประจักษ์พยานพยานพฤติเหตุแวดล้อมหรือพยานหลักฐานอื่นใดที่ยืนยันได้ว่ากลุ่มผู้ต้องหากระทำผิดดังกล่าวว่าการติดตาม กล่าวโทษดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้อง ศาลในคดีไต่สวนการตายในคดีประชาชนเสียชีวิตและคดี “6 ศพ” หลายศพเสียชีวิต ในขณะเจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและรัฐบาลพลเรือน ความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวโยงย่อมถึง “ผู้สั่งการ” และ “ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง” ใน “ศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน)”อันนำมาซึ่งการกล่าวโทษของนายพะเยาว์ อัคฮาด ผู้เป็นมารดาของนางสาวกมนเกด อัคฮาด หนึ่งในผู้เสียชีวิตในวัดปทุมฯ

โดยคดีนี้ปฐมบทคดีการตายของประชาชนตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. 2553 ถึงวันที่ 19 พ.ค. 53 หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งการให้ ศอฉ.  ใช้กำลังเข้าขอคืนพื้นที่และกระชับวงล้อมผู้ชุมนุม  และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ  รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี  จึงสั่งการให้ผู้ปฏิบัติใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนจริงในการขอคืนพื้นที่ดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.จนถึง 19 พ.ค. 53อย่างน้อย 89 ราย ซึ่งเมื่อมีการเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง  นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาและกำกับดูแล ศอฉ.  และรองนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการเจ้าหน้าที่ทหารผู้ปฏิบัติการฝ่ายยุทธการทั้งหมดมีอำนาจสั่งให้ทบทวนวิธีการ  วิธีปฏิบัติหรือระงับยับยั้งเปลี่ยนวิธีปฏิบัติได้ แต่กลับละเว้นเพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งหลังจากวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลา 03.00   นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้  ศอฉ.ดำเนินการมาตรการปิดล้อมและสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่โดยผอ.ศอฉ. ได้สั่งการให้มีการใช้อาวุธปืนและกระสุนจริง  ตามกระดาษเขียนข่าว  จึงทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 11 ราย

เมื่อวันที่ 16เม.ย. 2553 คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติในการประชุมครั้งที่ 3/2553 ให้การกระทำความผิดทางอาญา 4 กรณี คือ การก่อการร้าย การขู่บังคับให้รัฐบาลกระทำการใดๆ การทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ อันเกี่ยวกับการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมายในช่วงปลายปี พ.ศ.2552 เป็นต้นไป ในราชอาณาจักร รวมถึงความผิดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกันเป็นคดีพิเศษและกรมสอบสวนคดีพิเศษอยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวน นั้น

ต่อมาในส่วนของกลุ่มคดีการทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ดีเอสไอได้มีการสอบสวน ร่วมกับพนักงานอัยการ แล้วสรุปสำนวน ส่งเรื่องต่อให้อัยการสูงสุดพิจารณา และมีคำสั่งมีการพิจารณาสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ ให้ดำเนินคดีอาญาตามกระบวนการต่อไป
โดยเฉพาะคดีการเสียชีวิต 6 ศพในพื้นที่เขตอภัยทาน วัดปทุมวนาราม ในช่วงการสลายการชุมนุมของประชาชน เดือนพฤษภาคม 2553 ที่ “ศาล” ได้มีคำสั่งไปแล้วว่า “เสียชีวิตจากกระสุนของเจ้าหน้าที่ทหาร”

อย่างไรก็ตามกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลทหารเริ่มมีแนวทางและกระบวนที่น่าสงสัย คือ ดีเอสไอได้มีการตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการกลางเพื่อการสอบสวนคดีพิเศษกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบ พ.ศ.2553” ขึ้นเมื่อวันที่ 18มีนาคม2558  โดยทำในรูปแบบคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยนางสุวนา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ เป็นหน่วยงานภายใน อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาและกำกับดูแลของรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (พันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง) แต่งตั้งข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการกบางเพื่อการสอบสวนคดีพิเศษกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบ พ.ศ.2553 จำนวน 14 ราย ทั้งนี้ ให้ศูนย์ปฏิบัติการกลางเพื่อการสอบสวนคดีพิเศษกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบ พ.ศ.2553 การแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการสอบสวนกรณีเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของประชาชน ในปี 2553 อีกครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ดีเอสไอ เคยสรุปสำนวนการสอบสวนในคดีต่างๆ พร้อมส่งเรื่องให้อัยการส่งฟ้องต่อศาลหลายคดีไปแล้ว. มีเพียงการต้องติดตามเอาตัวผู้ต้องสงสัยหรือผู้ที่จะตกผู้ต้องหามาสอบสวนตามแนวคำวินิจฉัยของศาลให้ได้ นั่นคือหน้าที่ของ ดีเอสไอ

เนื่องจากคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 3 / 2553 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2553 ให้การกระทำผิดทางอาญากรณีการก่อการร้าย  การขู่บังคับให้รัฐบาลกระทำการใดๆ การทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ อันเกี่ยวกับการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมายในช่วงปลายปี พ.ศ.2552 เป็นต้นไป ในราชอาณาจักร รวมถึงความผิดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2)  จึงตั้งเรื่องคดีพิเศษที่ 18 / 2553 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนท้องที่ที่ศพตั้งอยู่ดำเนินการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งเกี่ยวกับเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย  ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 150 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับสำนวนไต่สวนการตายของผู้ตายมอบหมายให้กลุ่มการทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ  ดำเนินการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดยเฉพาะกรณีการตายในวัดปทุมวนารามฯ ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งว่าผู้ตายที่ 1 ถึงผู้ตายที่ 6 ถึงแก่ความตายในวัดปทุมวนารามราชวรวิหารเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลากลางวันเหตุและพฤติการณ์ที่ตายสืบเนื่องจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด . 223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร ซึ่งวิธีกระสุนปืนยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัดปทุมวนารามและบริเวณถนนพระรามที่หนึ่งจึงเข้าพบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ศอฉ. เป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 ถึงผู้ตายที่ 6 ถูกกระทำให้ถึงแก่ความตาย

เมื่อตามคำสั่งของศาลที่ทำการไต่สวนการตายระบุรายละเอียดว่าเกิดจากการกระทำของฝ่ายทหาร พนักงานสอบสวนจึงต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามที่ศาลได้ระบุไว้ในคำพิพากษา
ผลแห่งคำสั่งศาลเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมที่มีขั้นตอนบังคับตามกฏหมายบัตรต้องดำเนินการสอบสวนต่อไปเพื่อส่งให้อัยการสูงสุดเพียงผู้เดียวเป็นผู้สั่งคดี ตามป.วิ.อาญา มาตรา 143 วรรคท้าย

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและอัยการ จึงมีมติร่วมกันให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี เพราะโดยความตายเป็นผลโดยตรงจากการสั่งการของบุคคลทั้งสองอันเป็นการกระทำละเว้นหรือนอกเหนือหน้าที่ที่มีอยู่ในการบริหารราชการแผ่นดินหรือตามกฏหมายรวมทั้งกฎการใช้กำลังในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเช่นการแจ้งข้อหาดังกล่าวได้มีการพิจารณาการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าด้วย ในที่นี้จึงต้องนำตัวเจ้าหน้าที่ทหารทุกระดับที่เกี่ยวข้องกับการตายเข้าสู่กระบวนการสอบสวนทางอาญาด้วยเช่นกัน

“อาจมีประเด็นถกเถียงหรือหาทางออกให้ทหารว่า ทหารและเจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติการนั้น เป็นการปฎิบัติการตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เป็นการกระทำของทหารประจำการ และเป็นอำนาจของอัยการศาลทหารหรือไม่ คงจะเป็นความฉลาดเฉลียวของเสนาธิการทหารหรืออัยการทหารหรือดีเอสไอบางคน แต่อาจไม่ละเอียดรอบคอบ คงลืมพิจารณาถึงอำนาจสอบสวน อำนาจสั่งคดี และอำนาจศาล ข้อเท็จจริงที่รับรู้กันทั่วไปแล้วว่า กรณีนี้เจ้าหน้าที่ทหารตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิดร่วมกับพลเรือนที่เป็นผู้นำในรัฐบาล คดีจึงต้องอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลยุติธรรม  มิใช่ศาลทหารเพราะเป็นคดีที่เกี่ยวกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน”นายวิญญัติระบุ

นายวิญญัติระบุในแถลงการณ์ต่อว่า อัยการศาลทหารจึงไม่มีอำนาจ ตาม พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร 2498 มาตรา 14 เพราะว่า
1.คดีที่บุคคลที่อยู่ในมาศาลทหารกระทำผิดกับบุคคลที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร (ทหารกระทำผิดร่วมกับพลเรือน)
2. คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
ดังนั้น หนังสือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงวันที่ 30 เมษายน 2562 แจ้งผลคดีที่สำนักงานอัยการทหาร มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งแปด เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประจักษ์พยาน พยานพฤติเหตุแวดล้อม หรือพยานหลักฐานอื่นใดที่ยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาทั้งแปดกระทำความผิด   ตามหนังสือนี้จึงมีอีกนัยหนึ่งว่า เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพวกของผู้ต้องหาทั้ง8ที่เป็นทหารประจำการในขณะนั้นจะอยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ จึงต้องถือว่าพวกผู้ต้องหาทั้ง8และผู้เกี่ยวข้องที่ยังไม่ได้ตัวมาเป็นพลเรือนเป็นกรณีทหารร่วมกระทำความผิดกับพลเรือนจึงต้องขึ้นศาลพลเรือน แม้อัยการศาลทหารซึ่งไม่ทราบเป็นผู้ใดที่ลงนามและเป็นคณะทำงานหรือไม่ เชื่อว่าในอนาคตคงได้ทราบกัน แต่หากกระทำการนอกหน้าที่และไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ การกระทำนั้นย่อมผิดกฎหมาย เรื่องนี้อัยการศาลทหารต้องทบทวนบทบาทของตนเองใหม่

มติชนออนไลน์