ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
ผู้เขียน | อาชญา ข่าวสด |
เผยแพร่ |
กลายเป็นเรื่องเศร้าสลดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในสังคม
สำหรับกรณีที่พ่อก่อเหตุปาดคอภรรยาและลูกรวม 3 คน เสียชีวิตอยู่บนเตียงในห้องนอน
ก่อนลงมือปาดคอตัวเอง หวังฆ่าตัวตายตาม
แม้จะยังไม่ถึงฆาต มีผู้นำส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถหวนกลับคืนมาได้
แถมเมื่อรู้เหตุผลของการลงมือกลับยิ่งเศร้าใจ
เมื่อสาเหตุเกิดจากความเครียดเรื่องปัญหาหนี้สิน ที่หัวหน้าครอบครัวไปกู้นอกระบบมาเพื่อดำเนินกิจการร้านเครื่องเสียงของตัวเอง
โดยต้องจ่ายดอกเบี้ยถึงวันละ 8 พันบาท
กลายเป็นคำถามว่า แล้วนโยบายกวาดล้างหนี้นอกระบบ กวาดล้างนายทุนเงินกู้ที่ว่าประสบความสำเร็จนั้น
จริงๆ แล้วเป็นอย่างไรกันแน่!??
หรือต้องมีเหยื่อสูญเสียมากขึ้นอีก เจ้าหน้าที่รัฐถึงจะปฏิบัติงานอย่างจริงจังได้
สลดพ่อปาดคอเมีย-ลูก 3 ศพ
เหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 เมษายน เมื่อ พ.ต.ท.ณัฐพนธ์ จุ้ยอำนวย สว. (สอบสวน) สน.มีนบุรี กทม. รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย 3 ศพ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย เหตุเกิดภายในร้านเอ็นซี ออโต้ซาวด์ ที่รับติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์ ถนนหทัยราษฎร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม.
จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมแพทย์เวรโรงพยาบาลตำรวจ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุเป็นเพิงแถวยาว มุงหลังคาด้วยเมทัลชีต กว้าง 1 คูหา ภายในห้องนอนของร้านดังกล่าวพบร่างผู้เสียชีวิต 3 ราย ทราบชื่อว่า น.ส.กิ่งแก้ว พงศ์ไพโรจน์ อายุ 25 ปี ถูกปาดคอ สภาพศพนอนตะแคงหันหลังให้ประตู กอดศพทารกหญิงชื่อ ด.ญ.ณัฐกาญจน์ หรือน้องฟิล์ม คำเขิน วัยเพียง 1 ขวบ 3 เดือน ไว้กับตัว
ห่างไปพบนายณัฐศักดิ์ คำเขิน อายุ 46 ปี สามีของ น.ส.กิ่งแก้ว และพ่อของเด็กหญิงทั้ง 2 คนนอนโอดโอยร้องครวญคราง มีบาดแผลถูกแทงด้วยมีด ใกล้กันพบศพ ด.ญ.ศศิวิมล หรือน้องใบเฟิร์น คำเขิน อายุ 5 ขวบ ถูกฆ่าปาดคอเช่นกัน
สอบสวนนายธีระพล เดชชัง อายุ 37 ปี เจ้าของอู่ซ่อมรถที่อยู่ใกล้กัน เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 18.00 น. ที่ผ่านมา เพื่อนของนายณัฐศักดิ์โทรศัพท์มาหา บอกให้ตนมาดูนายณัฐที่ร้าน เนื่องจากระยะนี้ชอบบ่นกับเพื่อนเรื่องหนี้สินที่ต้องผ่อนส่งสูงถึงวันละ 8 พันบาท
เมื่อไปดูที่หน้าร้านพบว่าปิดผ้าใบสีเขียวไว้ เมื่อตะโกนเรียกก็ไม่มีเสียงตอบรับ จึงเปิดผ้าใบและเดินเข้าไปดูภายในห้อง เมื่อเปิดออกดูถึงกับผงะ เมื่อพบรอยเลือดกระจายเต็มกำแพงไหลนองตามพื้นห้อง
พบ 4 คนพ่อแม่ลูกนอนจมกองเลือด จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ
สอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ ระบุว่าก่อนเกิดเหตุเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. มีรถปิกอัพสีดำมาจอดอยู่หน้าร้าน มีกลุ่มชายฉกรรจ์ลงมาทวงหนี้ที่หน้าร้าน แต่เห็นร้านมีผ้าใบสีเขียวปิดคลุมอยู่ จึงสอบถามเพื่อนบ้าน ซึ่งต่างบอกว่าไม่มีใครเห็นนายณัฐตั้งแต่ช่วงเช้า กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวจึงเดินทางกลับ
ทั้งนี้ กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวเดินทางมาทวงหนี้เป็นประจำทุกวัน แต่ไม่พบว่ามีการใช้ความรุนแรง
แต่พบว่าขณะทวงหนี้เมื่อนายณัฐขอผ่อนผัน เจ้าหนี้ยังท้าว่าถ้าจะฆ่าตัวตายเพราะเงิน 2 หมื่น ก็ให้ลงมือไปเลย
ความอับจนทางเศรษฐกิจ เป็นชนวนของความสูญเสีย
เครียดหนี้-จ่ายวันละ 8 พัน
ส่วนเรื่องของคดี พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น. ระบุว่า คดีดังกล่าวเป็นเหตุความรุนแรงในครอบครัว ส่วนที่อ้างถึงสาเหตุเรื่องหนี้นอกระบบ ถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหา จึงให้สืบสวนสอบสวนขยายผลว่าผู้ต้องหาลงมือก่อเหตุอย่างไร มีผู้อื่นเกี่ยวข้องหรือให้การสนับสนุนหรือไม่อย่างไร เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของการก่อเหตุที่แท้จริง
หากมีความเกี่ยวข้องกับหนี้นอกระบบ ให้สืบสวนจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย และรายงานผลความคืบหน้าให้ทราบทุกระยะ
พล.ต.ต.สมนึก น้อยคง ผบก.น.3 กล่าวว่า นายณัฐศักดิ์อาการปลอดภัยแล้ว ให้ปากคำผ่านการเขียนข้อความ รับสารภาพว่าลงมือทำร้ายทั้ง 3 คนจนเสียชีวิต โดยที่ทุกคนยินยอมต้องการใช้วิธีนี้ เพื่อตัดสินปัญหาเรื่องเงินที่ใช้จ่ายภายในครอบครัวไม่เพียงพอ
แม้ว่าคำให้การผู้ก่อเหตุจะอ้างว่าเป็นปัญหาในครอบครัว แต่จะต้องรอข้อมูลพยานหลักฐานจากชุดสืบสวนมาประกอบกัน หากสาเหตุเกิดจากเงินกู้นอกระบบจริงก็จะเร่งสืบสวนติดตามหาผู้เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ เพราะถือเป็นนโยบายรัฐบาลในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล หรือปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมาย
ผบก.น.3 กล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานแวดล้อมไปแล้วหลายปาก พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดูแลเป็นพิเศษ เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาอาจจะทำร้ายตัวเอง
ส่วนเรื่องข้อหา แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะมีการเตรียมอุปกรณ์ เช่น มีดในการก่อเหตุ และผู้ก่อเหตุยังมีอาการโศกเศร้า
จากการตรวจสอบประวัติผู้ก่อเหตุไม่พบว่าเคยต้องคดีอาญา หรือมีพฤติกรรมดื่มสุรา เป็นคนขยันทำงาน และรักครอบครัว ไม่เคยมีปัญหากับใคร
ขณะที่นางอุดม สมบุตร อายุ 48 ปี ญาติผู้เสียชีวิต เดินทางมารับศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบำเพ็ญเหนือย่านมีนบุรี กทม. โดยนางอุดมเป็นแม่เลี้ยง น.ส.กิ่งแก้ว หนึ่งในผู้เสียชีวิต เลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุ 3 เดือน
พร้อมเปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุลูกสาวขอยืมเงิน แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นหนี้ใคร จำนวนเท่าไร
ทราบว่าวันที่ 24 เมษายน มีเจ้าหนี้มาทวงเงินต้น 20,000 บาท ค่าดอกเบี้ยเงินกู้วันละ 1,000 บาท บอกไปว่าจะพยายามช่วยเหลือ จะขอยืมเงินจากญาติ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ สำหรับผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นสามีและพ่อของเด็กขออโหสิกรรมให้ ไม่อยากอาฆาตแค้นกับใคร
เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฆ่าลูกฆ่าเมีย เพราะปัญหานี้ตัวเองเป็นคนก่อขึ้น ไม่เกี่ยวกับลูกๆ เลย
เป็นความสูญเสียที่ทำใจไม่ได้
บิ๊กป้อมสั่งฟันแก๊งดอกโหด
ส่วนเรื่องมาตรการแก้ไขหนี้นอกระบบนั้น พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กำชับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ฝ่ายปกครอง ตำรวจและทหาร ให้ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต่อไป เน้นย้ำให้ กอ.รมน.เร่งประสานความร่วมมือกับทุกส่วนราชการ ร่วมกันลงมาแก้ปัญหาให้ครอบคลุมทั้งวงจรในทุกกลุ่มประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
โดยให้เข้าไปช่วยเจรจาปลดภาระหนี้และจัดทำสัญญาใหม่ที่เป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมาย การสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบของรัฐที่จัดขึ้นเฉพาะอย่างทั่วถึง การช่วยเหลือพัฒนาทักษะอาชีพให้เข้มแข็งและมีรายได้เพียงพอ รวมถึงการตามดูแลและเข้าไปฟื้นฟูสภาพจิตใจ
เพื่อมิให้เกิดภาวะเครียดจนเกิดเป็นปัญหาในครอบครัว
โดยให้ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผช.ผบ.ตร. คุมศูนย์แก้ไขปัญหาแทน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ย้ายด่วนไปทำเนียบรัฐบาล
ขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนที่มีปัญหาหรือยังถูกข่มขู่เอาเปรียบจากเจ้าหนี้เถื่อน แจ้งสายด่วน 1155 หรือศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด อำเภอ และสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูลแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผ่าน กอ.รมน.และศูนย์การป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวว่า สั่งการให้ตำรวจทั่วประเทศกวดขันจับกุมและสืบสวนหาข่าวกลุ่มนายทุนปล่อยเงินกู้เรียกรับดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหลังเกิดคดี จนมีผู้เสียชีวิตจากปัญหาความเครียดเรื่องหนี้สินหลายคดีในช่วงนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีฐานข้อมูลผู้ที่กระทำผิดอยู่แล้ว
ยืนยันไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดหรือกลุ่มใด แม้กระทั่งบุคคลมีสี หากมีหลักฐานการกระทำความผิด ก็จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดโดยไม่ละเว้น
ดูว่าจะขยายผลไปได้ถึงไหน
เป็นบทพิสูจน์ฝีมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยอีกครั้งหนึ่ง