ย้อนคดีเสี่ยเบนซ์เมาขับ ‘รองผกก.-เมีย’ดับสลด ตร.ฮึ่มเอาผิดเจตนาฆ่า เจ้าตัวขมาศพ-บวชหน้าไฟ

ถือเป็นอุทาหรณ์สำหรับสังคมให้ละเลิกการเมาแล้ว ขับเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องราวของความสูญเสีย สิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากก็คือเรื่องของบทลงโทษ

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสนองนโยบายรัฐบาล ด้วยการแจ้งข้อหาหนักอย่างพยายามฆ่า

แต่ศาลกลับไม่เห็นด้วยเพราะไม่มีกฎหมายรองรับ และเป็นเพียงเรื่องของนโยบายเท่านั้น

นำมาสู่การผลักดันการแก้ไขกฎหมายเอาผิด

ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่าจะมีบทสรุปอย่างไร

เสี่ยเมาขับชนดับรองผกก.
สำหรับเหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงประมาณตีหนึ่งของคืน วันที่ 11 เม.ย. หรือเช้าวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.พิทักษ์ พูลพุทธา รองสารวัตรสอบสวน สน.ศาลาแดง รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ชนกัน มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย เหตุเกิดบนถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวงและเขตทวีวัฒนา

ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณกลางสะพานข้ามคลอง พบรถยนต์ซูซูกิ สวิฟต์ สีขาว ทะเบียน 2 กก 3653 กรุงเทพมหานคร สภาพล้อหลังเกยขึ้นไปค้างพาดอยู่กับราวสะพาน หน้ารถและข้างรถด้านขวาพังยับเยินเป็นซาก

ภายในรถพบศพ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล อายุ 49 ปี รองผกก.(สอบสวน) กก.2 บก.ป. เสียชีวิตอยู่ตรงเบาะนั่งคนขับ ถูกคอนโซลหน้ารถกดทับร่าง เจ้าหน้าที่ใช้อุปกรณ์เครื่องตัดถ่างงัดศพออกมา

นอกจากนี้ ยังพบผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นางนุชนาถ งามสุวิช ชากุล อายุ 44 ปี ภรรยา อาการสาหัส เสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ส่วนอีกคนคือ ด.ญ.พิชญาภา งามสุวิชชากุล หรือ น้องแพรว อายุ 12 ปี ลูกสาวซึ่งบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ถูกนำส่งโรงพยาบาลวิชัยเวช และถูกนำส่งต่อไปยังโรงพยาบาลกรุงเทพ

ที่เชิงสะพานข้ามคลองพบรถเบนซ์ อี 250 สีบรอนซ์ ทะเบียน ษฮ 789 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้าขวาพังยับ ล้อหน้าแบะหลุดออกมา คนขับทราบชื่อว่านายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 57 ปี ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ไทยคาร์บอนแอนด์กราไฟต์ จำกัด ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ อยู่ในอาการคล้ายเมาสุรา

เจ้าหน้าที่คุมตัวไปสงบสติอารมณ์ที่ สน.ศาลาแดง จากนั้นตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ผลออกมาสูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จึงควบคุมตัวไว้ดำเนินคดี พร้อมรอให้สร่างเมาเพื่อสอบปากคำ

ขณะที่ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ที่เดินทางมาสอบปากคำนายสมชายด้วยตัวเอง เปิดเผยหลังสอบปากคำว่า นายสมชายยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุไปเล่นกอล์ฟที่สนามไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุมีการดื่มเบียร์ร่วมกับเพื่อนร่วมก๊วนไป 4-5 ขวด กระทั่งเวลา 23.00 น.ของวันที่ 11 เม.ย. ก็แยกย้ายกันกลับ จากนั้นไม่รู้สึกตัวมารู้สึกตัวอีกที ตอนถุงลมนิรภัยทำงานหลังจากชนรถของ พ.ต.ท.จตุพร

ทั้งนี้จะแจ้งข้อหานายสมชายในความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุรา หรือของมึนเมาอย่างอื่น และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ผู้อื่นถึงแก่ความตายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต เนื่องจากพิจารณาแล้วควรแจ้งข้อหาหนักเอาไว้ก่อน แล้วจะคุมตัวไปส่งฝากขังศาลจังหวัดตลิ่งชัน

เป็นคนแรกที่เมาขับแล้วถูกข้อหาเจตนาฆ่า!

ศาลสั่งยกข้อหาเจตนาฆ่า
สำหรับที่มาของการตั้งข้อหานี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 5 เม.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ระบุถึงมาตรการป้องกันอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ ให้ใช้มาตรการรุนแรงมากขึ้น ให้ตำรวจทั่วประเทศทำสำนวนเอาผิดผู้ที่ดื่มสุราขับรถทำให้ ผู้อื่นเสียชีวิต ให้เป็นความผิดฐานเจตนาฆ่า

โดยคำส่งฟ้องของตำรวจระบุว่า นายสมชายสมัครใจดื่มสุราโดยรู้ว่าเป็นของมึนเมา และดื่มเป็นจำนวนมาก มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องที่ย่อมรู้ได้อย่างแน่นอนว่าจะเกิดผลคือความมึนเมาจนหมดสติ หรือจำเหตุการณ์ไม่ได้ หรือสูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกาย หรือควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองต้องขับรถกลับบ้าน

การที่ผู้ต้องหารู้ว่าตนเองมึนเมาสุราอย่างหนัก จนไม่สามารถควบคุมร่างกายและ กล้ามเนื้อได้ ยังฝืนขับรถมาในถนนสาธารณะ ที่มีประชาชนใช้ร่วมกันอยู่จำนวนมากในเวลากลางคืน ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องเกิดอุบัติเหตุ รถเฉี่ยวชนกับรถของคนอื่นอย่างแน่นอน

ในภาวะที่ผู้ต้องหาไม่สามารถควบคุมร่างกายและกล้ามเนื้อได้เหมือนคนปกติ และไม่สามารถตัดสินใจได้เหมือนคนปกติ สมองสั่งการได้ช้าลง แต่ยังฝ่าฝืนขับรถออกมาในถนนสาธารณะ โดยขับมาได้เพียง 400 เมตร ก็เฉี่ยวชนโดยขับรถสวนไปในช่องทางรถอื่น ทำให้รถที่สวนมาไม่สามารถหลบหลีกไปทางอื่น เพราะมีแค่ 2 ช่องทางจราจร เป็นเหตุให้ผู้ที่ขับสวนมาถึงแก่ความตายทั้ง 2 คน

พฤติการณ์ที่เกิดเหตุดังกล่าว และมีผู้ถึงแก่ความตาย เป็นพฤติการณ์ที่ผู้ต้องหาได้ยอมรับผลที่เกิดขึ้นไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ขับรถออกมาบนถนนสาธารณะ นอกจากนี้ยังขับด้วยความเร็วสูง พิจารณาจากรอยเฉี่ยวชน รถทั้ง 2 คันเสียหายมาก ที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยผู้ต้องหาเบรกรถ ผู้ต้องหาย่อมไม่อาจเอาความมึนเมานั้นขึ้นเป็นข้อแก้ตัวได้ว่าไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 66 จึงถือว่าผู้ต้องหามีเจตนาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา

แต่เมื่อส่งถึงศาล ศาลสั่งให้พนักงานสอบสวนกลับไปแก้ไขคำร้องขอฝากขังใหม่ เนื่องจากไม่สามารถรับคำฟ้องข้อหาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาได้ โดยชี้ว่าเป็นเพียงนโยบายของรัฐบาล ยังไม่ได้เป็นกฎหมาย

ศาลจึงให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนแจ้งข้อหาแก่นายสมชายเพียง 3 ข้อหา คือ 1.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ขับรถในขณะมึนเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และ 3.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้มีทรัพย์สินได้รับความเสียหาย ตามที่นายสมชายยอมรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตรก็ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ว่าจะต้องเพิ่มกฎหมายลูกเอาผิดถึงขั้นเจตนาฆ่า

เพิ่มโทษคนเมาขับให้ได้!

กราบศพ-ขอส่งเสียลูกคนตาย

ขณะที่คดีความศาลให้ประกันตัวนายสมชาย ที่ยื่นเงินสด 2 แสนบาทเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน และหลังจากนี้ก็ว่าไปตามกระบวนการตามกฎหมาย
ส่วนเรื่องการเยียวยาช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียหายนั้น นายรัตนชัย เวโรจน์พิพัฒน์ พี่ชายนายสมชายระบุว่า หลังเกิดเหตุเราได้ไปเยี่ยมลูกของ พ.ต.ท.จตุพร ที่บาดเจ็บอยู่ และพยายามหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดที่เกี่ยวกับทางด้านสมองก่อนจะนำตัวน้องไปรักษาต่อที่ ร.พ.กรุงเทพ และขอรับผิดชอบทุกอย่าง ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2-3 ล้านบาทก็ตาม

“ผมและครอบครัวยอมรับทุกอย่าง และทราบว่าทาง พ.ต.ท.จตุพร ผู้ที่เสียชีวิต เป็นเสาหลักของครอบครัว เราจะรับผิดชอบทุกอย่าง ดูแลเรื่องการศึกษาของน้องทั้งสองคนตั้งแต่นี้ต่อไป พร้อมกันนี้ตั้งใจว่าจะรับน้องทั้ง 2 คนให้มาเป็นหลานของผม และหวังว่าศาลจะเมตตา และมาคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไร”

ด้านนายสมชายเปิดเผยว่า ตนได้เดินทางไปเยี่ยม ด.ญ.พิชญาภา หรือน้องแพรว ลูกสาวคนเล็กของผู้ตาย ที่โรงพยาบาลกรุงเทพแล้ว ขณะนี้อาการดีขึ้น หลังจากนี้ยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง

เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่สาหัสที่สุดในชีวิต โดยตั้งใจไว้ว่าจะต้องรีบแก้ไข และจะเลิกดื่มไปตลอดชีวิต

ผมขอโอกาส ขอโทษประชาชนกับสิ่งที่กระทำผิดพลาดไป และหวังว่าจะได้รับการให้อภัยและอโหสิกรรม ยืนยันว่าจะดูแลเด็กๆ ทั้งสองคนคือ น.ส.ศุภาพิชญ์ งามสุวิชชากุล หรือ น้องพลอย อายุ 16 ปี และ ด.ญ.พิชญาภา อย่างดีที่สุด โดยได้รับปากกับทางญาติของผู้เสียหายไว้แล้ว จะส่งเสียให้ถึงที่สุดตามที่พ่อกับแม่เขาปรารถนา ทั้งค่าเล่าเรียนและค่ารักษาพยาบาลทุกอย่าง โดยทำหน้าที่เสมือนพ่อและแม่

ก่อนที่นายสมชายจะเดินทางไปร่วมพิธีรดน้ำศพ พ.ต.ท.จตุพร และภรรยา พร้อมก้มลงกราบศพเเละกราบญาติของผู้เสียชีวิต พร้อมแสดงเจตนาจะบวชหน้าไฟให้กับผู้เสียชีวิตทั้งคู่

เป็นเรื่องของการเยียวยา

และเป็นอุทาหรณ์ของความสูญเสียที่เกิดจากเมาแล้วขับ