อดีตกรธ. ตอก “สมศักดิ์” มโนไปเอง 250 ส.ว.ดับไฟการเมือง ร่ายที่มา คสช.-สนช.ชงแก้-ถามพ่วง

อดีตกรธ. ตอก “สมศักดิ์” มโนไปเอง 250 ส.ว.ดับไฟการเมือง ร่ายที่มา “คสช.-สนช.” ชงแก้-ถามพ่วง

เมื่อวันที่ 16 เมษายน นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ อดีตคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ระบุผู้เขียนรัฐธรรมนูญออกแบบ 250 ส.ว.แต่งตั้งช่วยดับไฟการเมือง ว่า เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของนายสมศักดิ์ ประเด็นของ 250 ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งและมีอำนาจลงมติเลือกนายกฯร่วมกับส.ส. กรธ.ไม่ได้เป็นผู้คิด แต่มาจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ส่งข้อเสนอแนะมาว่า ในช่วง 5 ปีแรกให้มีส.ว.มาจากการแต่งตั้ง คอยทำหน้าที่กำกับการปฏิรูปช่วงเปลี่ยนผ่าน ประกอบกับ การเสนอคำถามพ่วงโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ที่ว่า ให้ส.ว.มีอำนาจโหวตนายกฯร่วมกับส.ส. เมื่อผ่านประชามติกรธ.จึงนำทั้งข้อเสนอแนะคสช.และคำถามพ่วงมาเรียบเรียงไว้ในมาตรา 272 ส่วนที่มาของส.ว.ร่างแรกของกรธ.เขียนให้ส.ว.มีจำนวน 200 คน มาจากการเลือกจาก 20 สาขาวิชาชีพ แต่ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างมากแปรญัตติแก้ไขให้ ส.ว.มีจำนวน 250 คน มาจากการแต่งตั้งโดยคสช. 200 คน และอีก 50 คน คัดมาจากการเลือกตามสาขาวิชาชีพที่มีการปรับให้เหลือ 10 กลุ่ม โดยมาจากการสมัครสองแบบคือ สมัครเองอิสระและนิติบุคคลเป็นผู้รับรอง

“250 ส.ว.แต่งตั้งที่มีอำนาจโหวตนายกฯร่วมกับส.ส.จึงไม่ได้มีที่มาจากกรธ.และไม่ได้มีไว้เพื่อดับไฟการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลที่แต่ละฝ่ายมีคะแนนปริ่มน้ำที่ 250 เสียง ซึ่งสาเหตุก็ไม่ได้เกิดจากระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญแต่เกิดจากพฤติกรรมของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนกลุ่มใหญ่ที่ผ่านความขัดแย้งมา 10 กว่าปี ก็จะเลือกพรรคการเมืองใหญ่ คนรุ่นใหม่กว่า 8 ล้านเสียง ก็จะเลือกอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ที่ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองเรื่องสีเสื้อ ประกอบกับพรรคขนาดกลางในระดับจังหวัด อย่างบุรีรัมย์ ชลบุรี และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้รับความนิยมไปในแต่ละภูมิภาค ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นที่ออกมา จึงพบจำนวนส.ส.จึงขยายไปยังหลายพรรค โดยไม่ได้เกิดจากกติกา ส่วนตัวมองว่า ถ้าเป็นแบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เสียงของส.ส.จะยิ่งกระจายไปหลายพรรคมากกว่านี้อีก ขนาดบัตรเลือกตั้งใบเดียวที่กำหนดให้เลือกเพียงอย่างเดียวเสียงยังปริ่มขนาดนี้ ถ้าบัตร2ใบเชื่อว่า ดูไม่จืดแน่นอน” นายชาติชายกล่าว

นายชาติชาย กล่าวว่า เมื่อผลการเลือกตั้งเบื้องต้นออกมาแบบนี้ จึงมีการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองกันทันที พรรคเพื่อไทยที่ใช้ยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อยก็จะตีโพยตีพายไม่ได้ จึงต้องชิงการนำด้วยการคิดสูตรจำนวนส.ส.ก่อน โดยการคำนวณไม่นำพรรคเล็กที่ได้ไม่ถึง 7.1 หมื่นเสียงมาคิด จนทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลังเล จึงส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งสูตรการคิดนี้ ศาลอาจไม่รู้ก็ได้เนื่องจากการคิดเป็นอำนาจหน้าที่ของกกต.โดยตรง ส่วนสูตรการคิดนั้น กรธ.ก็ยืนยันชัดเจนว่า ต้องนำทุกคะแนนเสียงของทุกพรรคไม่ว่าใหญ่หรือเล็กที่ส่งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมาคิดด้วย หากจะยึดแค่ 7.1 หมื่นเสียงเป็นหลักถึงได้ 1 ส.ส. แล้วถามว่า ตอนคำนวณที่ต้องมีการปัดเศษส.ส.บัญชีรายชื่อไปให้พรรคที่ได้คะแนนถึง 7.1 หมื่นอย่างเดียว แต่เศษทศนิยมของพรรคนั้นน้อยกว่าพรรคเล็กจะตอบอย่างไร

มติชนออนไลน์