เผยแพร่ |
---|
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2562 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้คำสั่งม.44 ช่วยเหลือกิจการโทรคมนาคม และทีวีดิจิทัล โดยให้ยืดระยะเวลาการชำระค่าประมูลคลื่น และคืนใบอนุญาตได้ ว่า “คสช. ควรเล่นเป็นซานตาคล๊อสด้วยเงินประชาชน หรือไม่?” โดยระบุว่า
รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เล่นเป็นซานตาคล๊อส ใช้เงินส่วนรวมทำนโยบายประชานิยมหลายเรื่อง เพื่อแข่งกับรัฐบาลในอดีตถึงแม้มีเสียงวิจารณ์ว่า ได้ผลแบบไฟไหม้ฟาง และไม่เกื้อกูลให้ประชาชนพึ่งตนเอง แต่อย่างน้อยผู้ที่ได้รับประโยชน์คือผู้มีรายได้น้อยถามว่าประชาชนจะคิดอย่างไร ถ้าพล.อ.ประยุทธ์เล่นเป็นซานตาคล๊อส แต่เพื่อประโยชน์แก่คนรวย และแก่นักธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะถ้าเบียดบังไปจากประชาชนทั้งประเทศ
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2562 คสช. ก็มีประกาศ ม.44 อุ้มธุรกิจโทรคมนาคม และมีการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลควบคู่กันไปด้วย ตามลิงค์ข่าว ผู้ประกอบการทีวี จะได้รับการช่วยเหลือในการไม่ต้องจ่ายค่าประมูลทีวีดิจิทัล ใน 2 งวดสุดท้าย ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 13,622 ล้านบาท และยังจะได้รับการช่วยเหลือการจ่ายค่าเช่าโครงข่ายอีกประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท จนสิ้นสุดใบอนุญาตในปี 2572 รวมเป็นเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการช่องทีวีดิจิทัลทั้งหมดในวงเงินเบื้องต้นประมาณ 33,622 ล้านบาทหากผู้ประกอบการรายใด ได้จ่ายเงินบางงวดไปแล้ว ก็จะได้รับเงินคืน
โดยในเบื้องต้น หากยังไม่ได้รับเงินจากการประมูลคลื่นย่าน 700 MHz ก็ให้นำเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ของกสทช.มาใช้ก่อน
ส่วนผู้ประกอบการ MUX นั้น จะได้รับการชดเชยจากการต้องย้ายย่านคลื่นในโครงข่ายทีวี เพื่อคืนคลื่นย่าน 700 MHz ให้กสทช.มาจัดการประมูล โดยคาดว่าจะใช้วงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการช่องทีวีดิจิทัลสามารถคืนใบอนุญาตได้ แต่ต้องทำหนังสือแจ้งไปยัง กสทช. ภายใน 30 วันหลังประกาศฉบับนี้และให้สำนักงาน กสทช. กำหนดค่าชดเชยให้
ผมวิจารณ์ว่า การทำอย่างนี้ทำลายหลักการประมูลแข่งขันโดยตรง เพราะเมื่ออนุญาตใช้สำหรับเรื่องนี้ ในอนาคตจะปฏิเสธสำหรับเรื่องอื่นได้อย่างไร?
ถ้าผู้ชนะประมูลสามารถเปลี่ยนใจภายหลังได้ สามารถคืนใบอนุญาตได้ โดยได้รับเงินคืน …
ในการประมูลต่อๆ ไป เอกชนรายใดรายหนึ่งก็จะสามารถเสนอผลตอบแทนสูงเวอร์ เพื่อชนะได้รับคัดเลือกไปก่อน แล้วถ้าทำไปขาดทุน หรือกำไรน้อย ก็ขอเจรจายกเลิกภายหลัง
และการอนุญาตให้ผู้ประกอบการทีวี ไม่ต้องจ่ายค่าประมูลทีวีดิจิทัล ใน 2 งวดสุดท้าย ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 13,622 ล้านบาท นั้น เหตุใดจึงไม่มีผู้ต้องรับผิดชอบ?
ถ้าหากอ้างว่า รัฐจำเป็นต้องยกประโยชน์ให้แก่เอกชน เกิดจากความผิดของ กสทช. ที่พัฒนาเครื่องมือหรืออุปกรณ์ล่าช้า รัฐก็จำเป็นต้องลงโทษผู้กระทำผิดทั้งทางแพ่งและอาญา
ในเรื่องมาตรา 44 นั้น คุณไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายใหญ่เขียนไว้ชัดเจนว่า
“อย่าเชื่อใครว่า
จะสามารถใช้มาตรา 44 ได้ทุกกรณีเสมอไป
รัฐธรรมนูญบัญญัติ กรอบและเงื่อนไข การใช้มาตรา 44 ไว้ดังนี้
1 กรณีเป็นการจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปด้านต่างๆ
2 กรณีเป็นการจำเป็น ในการส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ
3 กรณีเป็นการจำเป็น เพื่อป้องกัน ระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน
กรณีใดกรณีหนึ่งหากเกิดขึ้น หัวหน้าคสช. โดยความเห็นชอบของคณะคสช. มีอำนาจ 2 ประการคือ
1 สั่งการให้ระงับยับยั้ง
2 กระทำการใดๆ ได้ ไม่ว่าจะมีผลในทางนิติบัญญัติในทางบริหารหรือในทางตุลาการ
และเมื่อดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไข และขอบเขตดังกล่าวแล้วนั่นแหละ จึงได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และเป็นที่สุด
หากไม่เป็นไปตามกรอบและเงื่อนไขนี้ ก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ”
ดังนั้น ผู้อ่านจึงควรพิจารณาว่า ประกาศฉบับนี้เข้าเงื่อนไข 3 ข้อดังกล่าวหรือไม่
โดยสำหรับข้อ 3 นั้น ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ผมเห็นว่าไม่สามารถที่จะเข้าข่ายเป็นการจำเป็น เพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศ แม้แต่น้อย
มติชนออนไลน์