“จตุพร” ชี้ การเลือกตั้งครั้งนี้สกปรกเกิน กลายเป็นปัญหาใหม่ ไม่ใช่ทางออกประเทศ

ประธาน นปช.ระบุ การเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของประเทศ แต่กลายเป็นปัญหาใหม่ เพราะ การเลือกตั้งครั้งนี้ เกินคำว่าสกปรกไปแล้ว เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2500 ปัญหาก็คือ กกต.จะเรียกศรัทธาความเชื่อมั่นกลับมาอย่างไร เพราะฉะนั้น การนับคะแนนเรื่องบัญชีรายชื่อ จะนับอย่างไรก็ตามสบาย เอาที่สบายใจ แต่ว่ามันหมดความน่าเชื่อถือกันไปหมดแล้ว

วันที่ 4 เมษายน 2562 ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก คดีก่อการร้ายหมายเลขดำอ.2542/53 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ1 เป็นโจทก์ฟ้องนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ,นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ,นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช.กับพวก รวม 24 คน เป็นจำเลยที่ 1- 24 เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย และข้อหาอื่นๆ กรณีกลุ่ม นปช.ชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2553 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ซึ่งวันนี้จำเลยส่วนใหญ่ซึ่งได้รับการประกันตัว เดินทางมาศาลตามนัด

นายจตุพร ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงจากศาล ถึงกรณีการนับคะแนนบัญชีรายชื่อของ กกต. ว่า ทาง กกต.เรียกได้ว่ามั่วมาตั้งแต่ต้น ความจริงต้องศึกษาข้อกฎหมายให้เสร็จสิ้นกระบวนความ ก่อนที่จะจัดการการเลือกตั้ง ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งเสร็จ มาควานหาว่าวิธีการคิดเป็นอย่างไร ดังนั้นตนว่า ทุกอย่างนำไปสู่ความไม่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าคิดมุมใด แม้กระทั่งข้อเสนอล่าสุดที่ว่า พรรคใดไม่ได้ ส.ส.เขตจะมาคำนวณบัญชีรายชื่อไม่ได้ นี่ก็จะเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมา เพราะทุกคนก็ไม่เคยมีความชัดเจนในเรื่องนี้กันมาก่อน เพราะต่างเข้าใจกันว่าอยู่ที่จำนวนเสียง ตนเองเห็นว่าบ้านเมืองมาถึงจุดที่ว่า เหนือกว่าเรื่องการนับคะแนน การจัดการบัญชีรายชื่อ คือ การจัดการเลือกตั้ง ไม่เป็นไปด้วยความสุจริต และเที่ยงธรรม ตามคำขวัญของ กกต. และการประกาศผล ตนเชื่อว่ามีความจงใจให้ตัวเลขไม่เท่ากัน เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลเป็นอย่างอื่น ในการบวกลบคูณหาร เพราะจำนวนยอดผู้มาใช้สิทธิทั้งสองครั้งที่ได้มีการแถลงข่าวในวันที่ 24 และ 28 มีนาคม 2562 นั้น ต่างกันถึง 4 ล้าน ตนไม่เชื่อว่า กกต.จะผิดพลาดถึงขนาดนั้น ตนขอตั้งข้อสงสัยว่าเป็นความตั้งใจวางประเด็นกันไว้หรือไม่ รวมถึงประเด็นเรื่อง บัตรดี กับคะแนนพรรคการเมืองห่างกันถึงสองล้าน ตนว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นปัญหาที่จะต้อง คิดกันต่อว่า กกต.ทำไปเพื่ออะไร ตัวเลขให้เท่ากันสองยอดไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่เหมือนกับจงใจให้ตัวเลขสองยอดไม่เท่ากัน ซึ่งก็ต้องคิดกันต่อว่าทำไปเพื่ออะไร ที่มากกว่าเรื่องบัญชีรายชื่อคือ การเลือกตั้งทั้งระบบมันหมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ความจริงการนับคะแนนต้องมีการถ่ายภาพกระดานที่เขานับ ไม่ใช่ว่าแค่ส่งเข้าแอพเป็นตัวเลขยอดคะแนน ซึ่ง คะแนนมันหายแบบผิดสังเกต หลากหลายเรื่องราวมาก ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวหนึ่ง ไปเลือกตั้ง 7 คน แต่พอมาดูการนับคะแนน ในจุดเลือกตั้งนั้น พรรคที่เลือกกลับไม่ได้สักคะแนนเดียว เป็นต้น แต่เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องเล็ก เพราะเรื่องใหญ่ก็คือว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ คนมีความสงสัยกันทั้งหมด ตนจึงได้บอกว่ามันเกินคำว่าสกปรกไปแล้ว เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2500 ปัญหาก็คือ จะเรียกศรัทธาความเชื่อมั่นกลับมาอย่างไร เพราะฉะนั้น การนับคะแนนเรื่องบัญชีรายชื่อ จะนับอย่างไรก็ตามสบาย แต่ว่ามันหมดความน่าเชื่อถือกันไปหมดแล้ว

นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณีที่ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ.ออกมาพูดไม่กี่วันนี้ว่า เรื่องซ้ายขวา ในประเทศไทย มันผ่านกันมายาวนาน ในรั้วมหาวิทยาลัยสมัยก่อน ก็เป็นเรื่องระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา จนมาถึงยุค ๆ หนึ่ง ก็มาถึงคำว่า เบื่อซ้าย หน่ายขวา ก็มียุคสมัยแบบนี้เหมือนกัน แต่ปัจจุบันนี้สิ่งที่จะต้องคิดอ่านก็คือว่า จะเดินทางอย่างไรให้บ้านเมืองเดินหน้าไปรอดได้ ตนคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกว่าห้าปีนี้ คนไทยมันเดือดร้อนกันจริง ๆ ตนคิดว่าเรื่องนี้ทุกคนควรจะหาคำตอบ เพียงแต่การเลือกตั้งมันไม่ใช่ทางออก แต่เป็นปัญหาใหม่เกิดขึ้นมาแล้ว แม้กระทั่งสามารถเคลียร์ได้ ตอบได้ทุกข้อสงสัย ตัวเลขก็ไปไม่ได้อยู่ดี แล้วก็ยังมีอีกหลากหลายประเด็น อย่างที่ตนเคยอธิบายว่า แจกใบแดง เหลือง ส้ม ดำ ขาว ตัวเลขก็จะไม่เปลี่ยน เพราะคนเลือกเป็นซีกกันไปแล้ว แต่ก็มีอีกหลาย ๆ อย่าง เช่น การรับรองไม่ครบตามจำนวน เพราะกฎหมายให้รับรอง 95 % ถ้าเว้นไว้ 5 % ก็เท่ากับ 25 เขต ตัวเลขก็เป็นจำนวนมาก ก็ส่งผล แต่อย่างไรประเทศก็ไปไม่ได้อยู่ดี ตนว่า ณ ขณะนี้ เอาเรื่อง กกต.ก่อน ทำให้คนไทยสบายใจเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยมาคิดกัน ส่วนเรื่องการนับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์อย่างไรเอาตามสบาย เอาที่สบายใจ

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีมีการเรียกร้องให้เปิดเผยผลคะแนนดิบ ว่า จากตัวเลขที่ไม่เท่ากัน ก็เป็นการอธิบายแล้วว่าจะไม่มีการเปิดตัวเลขคะแนนดิบกัน แม้ว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานหลังจากการเลือกตั้งแล้วก็ตาม ตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่มีการเปิด แม้ความจริงควรจะต้องเปิด เพราะคนเขาจะได้รู้ว่าใครเลือกใคร แต่ตนเชื่อว่า ณ สถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครยอมที่จะให้เปิด ซึ่งก็จะยิ่งสร้างความน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย การเลือกตั้งควรจะเป็นความโปร่งใส สุจริต เที่ยงธรรม สบายใจกันทุกฝ่าย ทั้งผู้แพ้ และผู้ชนะ และผู้เลือกคือประชาชน ดังนั้นตนคิดว่า ถ้าสุจริต โปร่งใส กกต.ก็ควรเปิดเผยตัวเลขคะแนนดิบแต่ละเขต เพราะข้อเรียกร้องที่มีการเรียกร้องอยู่ในขณะนี้ คือ การเรียกร้องให้เปิดเผยความจริง ถ้ามันเป็นความจริงแล้วก็ไม่ควรจะปกปิด แต่ตนเชื่อว่า ลีลาแบบนี้จะไม่ยอมเปิด