“ลดาวัลลิ์” จี้รัฐปรับวอร์รูมแก้ฝุ่นพิษ แนะใจกว้างรับข้อเสนอ “ชัชชาติ”

วันที่ 1 เมษายน 2562 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นห่วงวิกฤตฝุ่นพิษในภาคเหนือจะส่งผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อทั้งสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จึงขอเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษให้เป็นรูปธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพของวอร์รูมที่ตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2562 และควรเปิดกว้างรับข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมมือทำงานกับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากสถานการณ์ฝุ่นพิษ วัดดัชนีคุณภาพอากาศหรือ AQI มีค่าสูงถึง 448 US AQI ซึ่งอยู่ในขั้นวิกฤต ส่วนราชการจะทำงานแต่เพียงโดยลำพังไม่ได้แล้ว เพราะได้เกิดเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถึงขั้นสำนักข่าวต่างประเทศเสนอข่าวเด็กอายุ 4 ขวบ เลือดกำเดาไหลไม่หยุดต้องใส่หน้ากากออกซิเจนเพราะวิกฤตหมอกควัน

นางลดาวัลลิ์ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญต่อปัญหาวิกฤตฝุ่นพิษที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในภาคเหนือในขณะนี้ เราได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีทีมงานที่มีความรู้และประสบการณ์ เช่น นายปลอดประสพ สุรัสวดี , นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และ นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ นายชัชชาติ ได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดูสถานการณ์ความรุนแรงของฝุ่นพิษ และมีข้อเสนอเพื่อบรรเทาปัญหาวิกฤตดังนี้ 1.การจัดหาหน้ากากและเครื่องกรองอากาศให้กับประชาชนโดยด่วน 2.การห้ามการเผาอย่างเข้มงวด 3.การแจ้งเหตุไฟ การดับไฟป่าและไฟทุ่งอย่างรวดเร็ว และ 4.การเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเรื่องการเผาไร่ ซึ่งรัฐบาลควรนำไปใช้ได้ทันทีเพื่อบรรเทาปัญหาที่อยู่ในขั้นวิกฤตโดยเร็ว

นางลดาวัลลิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากข้อมูลต้นเหตุของควันพิษในภาคเหนือที่สำคัญเกิดจากการเผาป่าในพื้นที่ในประเทศเพื่อนบ้านและในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้รัฐบาลจะต้องประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสาเหตุสำคัญในการเผาป่าน่าจะมาจากการขาดจิตสำนึกที่ดีในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของกลุ่มทุนบางกลุ่ม และกระทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของประชาชน ไม่ใช่เกิดจากการเผาป่าเพื่อให้เป็นประเด็นการเมืองเหมือนคำกล่าวของ พล.ต.บัญชา ดุริยพันธ์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 ตามที่เป็นข่าว เพราะการพูดเช่นนั้นเหมือนกับจะปัดความรับผิดชอบต่อการเร่งแก้ไขปัญหาของรัฐบาล