“หญิงหน่อย” ขอให้ทุกพรรคศรัทธาปชต. ลั่น นโยบายพท.คิดเป็นระบบ ทำได้จริง ไม่เน้นเกทับ

“หญิงหน่อย” ขอให้ทุกพรรคศรัทธาในระบอบปชต.-อย่ากวักมือเรียกทหาร ชู แก้รธน.ให้คนที่ออกมารัฐประหาร ไม่มีสิทธิออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเอง

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการจัดประชันวิสัยทัศน์ของผู้นำพรรคการเมือง โดนมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯและประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐประหารทุกครั้งอ้างเรื่องนักการเมืองโกงทุกครั้ง แต่จบที่เราเห็นทหารที่มารัฐประหารโกงด้วย วันนี้พรรคการเมืองต่างๆต้องเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และระบอบรัฐสภาอย่างแท้จริง วันนี้ตนยังไม่เห็นพรรคใดไม่มีคดีเลย แต่ถ้าเราศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน อย่าไปกวักมือเรียกทหารเข้ามา อยู่ให้ครบเทอม แล้วประชาชนจะตัดสินเอง ถ้าการรัฐประหาร ทำให้ประเทศเจริญ ประเทศไทยน่าจะเจริญที่สุดเพราะรัฐประหารบ่อยมาก พรรคพท.ตัดสินใจยุบสภา แต่ทำไมไม่ปล่อยให้ประชาชนเลือก หรือตัดสิน ทั้งนี้ สำหรับพรรคพท. เรามุ่งมั่นตั้งใจให้ระบอบประชาธิปไตยเดินได้อย่างแท้จริง สงบบนเศรษฐกิจที่ดี ดังนั้น คนที่ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งต้องจริงจัง หากผลการเลือกตั้งออกมาไม่น่าเชื่อถือ ประเทศไทยไปไม่ได้ วันนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต่อต้านการกลับมาขออำนาจเผด็จการ และพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยการออกมาเลือกตั้งให้ถล่มทลาย พรรคพท. ชัดเจน ว่าเราไม่เอาทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า เราต้องเรียกร้องให้ส.ว. 250 คน ฟังเสียงประชาชน ไม่ใช่ฟังเสียงลุงที่เลือกมา แล้วเอาสิ่งที่หมกไว้ในรัฐธรรมนูญมาพูดคุยกัน มาพูดให้ประชาชนรับฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหารัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้วแก้รัฐธรรมนูญ จะแก้ปัญหาได้ถาวร คือการแก้รัฐธรรมนูญให้คนที่ออกมารัฐประหาร ไม่มีสิทธิออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเอง

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวถึงนโยบายโค้งสุดท้ายของพรรคพท. ว่า เราไม่ลดแลก ที่เราเสนอขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 18,000 บาทก็อยู่ในแผนการเติมกำลังซื้อให้คนที่เป็นฐานใหญ่ของประเทศโดยการเติมเงินให้เกษตรกร และแรงงาน เพราะค่าครองชีพปรับขึ้นตลอด รายจ่ายมาก แต่รายนับไม่พอ เราจึงต้องปรับฐานให้เขาอยู่ได้เพื่อให้เขาจับจ่าย เราพูดอยู่บนฐานของเรา ไม่ได้เกทัพ หรือแข่งที่ตัวเลข เราจะสร้างรายได้ เติมในกระเป๋าให้ฐานรากของประเทศ ทั้งนี้ ในปี 55 เราทำมาแล้วที่เพิ่มค่าแรงเป็น 300 บาท และปริญญาตรี 15,000 บาท ครั้งนี้ เราก็จะขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน และไม่ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน ต้องมีการมาพูดคุยกัน ไม่ใช่ปรับขึ้นโดยทันที ส่วนนายจ้างเราจะมีมาตรการลดภาษีเงินได้ และลดภาษีน้ำมันให้ ตอนปี 55 ก็มีคนดูถูก แต่สุดท้ายคนก็ออกมาสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ในโค้งสุดท้าย เรามองเรื่องการแก้หนี้ด้วยรายได้ ส่วนแคมเปญเรายังออกไม่หมด กำลังทยอยออก อย่างเรื่องหวยบำเหน็จ เป็นต้น

มติชนออนไลน์