“เพื่อชาติ” หาเสียงปลุกชาวขอนแก่นเข้าคูหาฆ่าเผด็จการ “จตุพร” เย้ย “พปชร.” มีหรือไม่มี “ประยุทธ์” ก็ไม่ได้คะแนนเพิ่ม

วันที่ 6 มีนาคม 2562 พรรคเพื่อชาติ นำโดย นายอารี ไกรนรา ดร.วิโชติ วัณโณ รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ และคณะกรรมการบริหารพรรค พร้อมด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคฯนำคณะลงพื้น ช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อชาติหาเสียง 10 เขต รวดจังหวัดขอนแก่น โดยในช่วงเช้าเวทีแรกจัดปราศรัย ที่ บึงทามจั๊กจั่น เทศบาลตำบลสีชมพู อำเภอสีชมพู ทามกลางการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนจำนวนมาก

นายจตุพร กล่าวว่า ประเทศไทยมีสิ่งที่ต้องทำและผูกพันอยู่ 3 เรื่อง คือ การฟื้นประเทศไทย สร้างประชาธิปไตย และก้าวไปด้วยกัน ดังนั้นประเทศไทยจะฟื้นจากความยากจนไม่ได้หากประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งการเมืองและเศรษฐกิจเป็นของคู่กัน ห้าปีนี้พิสูจน์แล้ว ถ้าการเมืองเป็นเผด็จการ ประชาชนเกิดความยากจนแสนสาหัส ประเทศเสียหาย ซึ่งระบบเผด็จการนี้ก็แปลงร่างมาเป็นนักบุญ เช่น เผด็จการทหารของประเทศไทย ที่ทำบัตรคนจน หรือรูปแบบอื่นๆ เพื่อบอกว่านี่คือแนวทางการแก้ไขปัญหาชาติ ทั้งที่รากเง้าปัญหาของความจน เกิดจากบ้านเมืองเป็นเผด็จการ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพรรคเพื่อชาติคือ พาบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น นักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติก็จะมาลงทุนที่บ้านเรา

นายจตุพร กล่าวถึงกรณี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยบอกเมื่อวาน(5 มี.ค.) ว่าต่อให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช.ไปช่วยหาเสียง หรือช่วยปราศรัยก็ไม่ช่วยให้คะแนนของพรรคพลังประชารัฐ ดีขึ้น เพราะเชื่อว่าประชาชนตัดสินอยู่ในใจแล้ว ตนเองเห็นว่าสถานการณ์ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐ แม้ว่าไปปราศรัยทุกแห่งเหมือนว่าจะมีประชาชนมาร่วม แต่ทุกคนในวงการเมืองก็รู้ว่า ที่มาของประชาชนทุกคนว่ามาด้วยเหตุผลอะไร ใช้กลไกอะไรบ้าง ซึ่งการกระทำเช่นนี้ตบตาคนอื่นได้แต่ตบตาคนการเมืองด้วยกันไม่ได้

ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชารัฐยกเลิกแผนที่จะนำ พลเอกประยุทธ์ มาช่วยปราศรัยหาเสียงนั้น ตนเชื่อว่ามีการประเมินสถานการณ์อย่างดีแล้วว่าการปราศรัยแม้ว่าจะมีคนมาจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนนั้น จะไปเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพราะเมื่อประชาชนไม่ได้มาด้วยจิตใจและศรัทธา ก็ไม่มีประโยชน์อันใด

ทั้งนี้นายจตุพร กล่าวอีกว่า หากพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ ส.ส.เป็นอันดับหนึ่ง คิดว่า พรรคพลังประชารัฐ จะกล้าชิงตั้งรัฐบาลก่อนพรรคที่ได้เป็นอันดับหนึ่งหรือไม่ และคิดว่าพอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาลจริงๆ พรรคการเมืองตัวแปรต่างๆ จะมีจุดยืนอย่างไร นั้น ต้องขออธิบายเรื่องหลักคุณธรรม เพราะการยึดอำนาจก็ถือเป็นการละเมิดคุณธรรม จริยธรรมทางการเมืองขั้นสูงสุด ทางการเมืองทุกคนรู้ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่มีทางได้อันดับหนึ่ง ซึ่งถ้ามั่นใจได้อันดับหนึ่งคงไม่มีการออกแบบให้พลเอกประยุทธ์แต่งตั้ง ส.ว. 250 คน เพราะฉะนั้นอย่าถามหาความชอบธรรม ว่าหากไม่ได้ลำดับหนึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาลก่อนจะมีความชอบธรรมหรือไม่ ซึ่งความจริงไม่ชอบธรรมมาตั้งแต่ต้น และเชื่อมั่นว่าต่อไปก็จะไม่ชอบธรรม ทั้งนี้ตนไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์พรรคตัวแปรอื่นๆซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับพรรคเหล่านี้ด้วย เพราะทางการเมืองทางเดินมันแคบ รู้ไว้เลยว่า ความเป็นธรรมไม่เคยมีในรัฐบาลเผด็จการ

นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณี โครงการความยุติธรรมโลก ออกรายงานดัชนีนิติรัฐประจำปี 2562 โดยจัดไทยอยู่ในอันดับที่ 76 จากทั้งหมด 126 ประเทศ ซึ่งอันดับของไทยได้ลดลงทุกปีนับแต่หลังรัฐประหารเมื่อปี 2557 ว่า ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการถ้าเรียกหาความยุติธรรมกับเผด็จการ แม้ว่าเขาอยากจะให้แต่ก็ให้ไม่ได้ เพราะไม่มีประเทศใดที่ปกครองด้วยเผด็จการจะมีความยุติธรรม ดังนั้นการยึดอำนาจจากการปล้นอำนาจจากประชาชนเท่ากับไม่ยุติธรรมตั้งแต่ต้นอยู่แล้วเพราะฉะนั้นความยุติธรรมหมดไปตั้งแต่ใช้วิธีรัฐประหารแล้ว