ปตท.มึนปี61กำไรลด11%แต่นำส่งรัฐกว่า 8.2 หมื่นล.

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2561 ขยายตัวชะลอลงเหลือร้อยละ 3.7 โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจยูโรโซนและจีน ความไม่แน่นอนจากปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นน้อยกว่าปีก่อน รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4 ปี 2561 ส่งผลให้ในปี 2561 ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ทั้งในส่วนของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และธุรกิจน้ำมันมีผลประกอบการที่ลดลง สาเหตุหลักมาจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน อีกทั้งธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์และสายโอเลฟินส์ก็มีผลการดำเนินงานลดลงตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ลดลงโดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2561 แม้ว่าปริมาณขายโดยรวมจะเพิ่มขึ้นจากความต้องการผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ยังอยู่ในระดับสูง

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยที่ทำให้กำไรของ ปตท. ลดลงจากค่าใช้จ่ายทางภาษีเพิ่มขึ้นตามผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และการปรับโครงสร้างหน่วยธุรกิจน้ำมัน ในขณะที่การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ครบวงเงินแล้ว อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น กลับมีปัจจัยเชิงบวกที่ทำให้ผลประกอบการดีขึ้น โดยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากราคาและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทั้งในส่วนที่ ปตท. ดำเนินการเองและดำเนินการโดยบริษัทในกลุ่ม และธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีผลการดำเนินงานดีขึ้นทั้งจากกำไรขั้นต้นต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น

จากปัจจัยต่างๆ ส่งผลให้การดำเนินงานของ ปตท. ปี 2561 มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 1.4 ล้านล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน 59,160 ล้านบาท และเมื่อรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม ส่งผลให้ ปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 2.3 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 17) และมีกำไรสุทธิ 119,684 ล้านบาท (ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 11) คิดเป็นกำไร 4.15 บาทต่อหุ้น ซึ่งคณะกรรมการ ปตท.ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2.00 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 36,258 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และบริษัทในเครืออีกประมาณ 45,962 ล้านบาท รวมเป็นรายได้นำส่งรัฐจากกลุ่ม ปตท. สำหรับผลประกอบการปี 2561 รวมประมาณ 82,220 ล้านบาท ทั้งนี้ กำไรของ ปตท. ภายหลังการจ่ายเงินปันผลให้แก่รัฐและผู้ถือหุ้น จะนำไปลงทุนเพิ่มเติมในโครงการต่างๆ ที่สำคัญ รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคม ตามแนวทางการบริหารจัดการความยั่งยืนกลุ่ม ปตท. เน้น 3 ด้านหลัก (3P) ได้แก่ People การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชุมชน และสังคม Planet การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม Prosperity การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ในด้าน People เน้นการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม สร้างคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจที่ดีแก่คนในสังคม การร่วมพัฒนาการศึกษาไทยด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่าน “โรงเรียนกำเนิดวิทย์” ซึ่งนักเรียนรุ่นแรกสำเร็จการศึกษาจำนวน 71 คน ในจำนวนนั้นได้ทุนศึกษาต่อต่างประเทศในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถึง 18 คน และ “สถาบันวิทยสิริเมธี” ที่นักศึกษารุ่นแรกสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน 13 คน พร้อมเปิดสำนักวิชาใหม่ 2 สาขา ได้แก่ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล สนับสนุนการจัดตั้งโดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สนับสนุนการจัดตั้งโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงอาคารเรียนรวม สนับสนุนโดยบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ยังสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสให้มีส่วนร่วมในธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) ของ ปตท. ผ่านร้าน Café Amazon for Chance เปิดโอกาสให้ผู้พิการทางการได้ยินมีอาชีพและรายได้ สะท้อนการทำงานของ ปตท. ที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นอกจากนี้ปตท.ยังมุ่งพัฒนาพลังงานทางเลือก เชื้อเพลิงสะอาด อย่างต่อเนื่อง อาทิ ก๊าซธรรมชาติ NGV แก๊สโซฮอล ไบโอดีเซล ซึ่งมีส่วนช่วยลดมลภาวะ ในปีที่ผ่านมายังสนับสนุนมาตรการรัฐ ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐาน โดยจัดหาน้ำมัน B20 ให้รถสาธาณะและรถบรรทุกด้วย

มติชนออนไลน์