‘จตุพร’ อัด คสช.เห็นเรือดำน้ำสำคัญกว่าความเดือดร้อน ปชช. เย้ย ‘ประยุทธ์’ ไม่มีทางชนะเลือกตั้ง

‘จตุพร’ อัด คสช.เห็นเรือดำน้ำสำคัญกว่าความเดือดร้อนประชาชน ทุ่มทุนให้กองทัพหลังรัฐประหาร ชี้ ‘ประยุทธ์’ ไม่มีทางชนะเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) โดย นายสุชาติ อุทัยวัฒน์ กรรมการบริหารพรรค นายวิโชติ วัณโณ รองหัวหน้าพรรค และนายรยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรค พร้อมด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ พร้อมคณะผู้บริหารพรรคเพื่อชาติ นำคณะลงพื้นที่หาเสียงช่วยนายภาคิน นิธิโชติการ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อชาติ เขตสายไหม และ พ.ต.อ.นพ.ปิยะพงษ์ สาครเย็น ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อชาติ เขตบางเขน โดยเริ่มจากตลาดเอซี สายไหม และต่อด้วยวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต เขตบางเขน

นายจตุพรกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เสนอการลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม เพื่อนำไปใช้พัฒนาส่วนอื่นของประเทศว่า เมื่อมีการยึดอำนาจทุกครั้ง งบประมาณของกระทรวงกลาโหมก็จะเพิ่มขึ้นทุกครั้ง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน ถามว่าความอดอยากของประชาชนกับเรือดำน้ำ อันไหนจะมีความสำคัญมากกว่ากัน แต่หลักคิดของผู้ยึดอำนาจถือว่าเป็นการลงทุน ก็ต้องไปซื้อเรือดำน้ำ ซื้ออาวุธก่อน เพราะฉะนั้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมานั้น งบในส่วนของกองทัพได้เติบโตในสัดส่วนที่มากกว่าในยามบ้านเมืองเป็นปกติ เพราะฉะนั้นใน 4 ปีต่อไป ก็ควรจะให้ประชาชนมากบ้าง

“การจะนำงบประมาณไปก็เพียงเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาความยากจน ไม่ใช่เป็นคนหนักแผ่นดิน หลักคิดนี้ไม่ใช่หลักคิดของคนหนักแผ่นดิน แต่มันสอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน ผมว่าบรรดาผู้นำเหล่าทัพควรจะมองโลกอย่างกว้างๆ แล้วก็ควรมองโลกด้วยความเป็นจริงว่า ขณะนี้เราไม่มีศึกสงคราม แต่ประชาชนจนจริง เดือดร้อนจริง” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพรยังกล่าวถึงเพลงหนักแผ่นดินว่า เป็นเพลงที่แต่งขึ้นและเผยแพร่ใน พ.ศ.2518 ด้วยเจตนารมณ์สร้างความแตกแยกภายในชาติ ซึ่งแบ่งระหว่างซีกขวาและซ้าย เป็นแนวความคิดขวาพิฆาตซ้าย อันนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการจับนักศึกษาแขวนคอ เผาทั้งเป็น ล้อมปราบ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากต้องหนีเข้าป่า ไปจับอาวุธ ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นเพลงนี้นำไปสู่ความแตกแยกภายในชาติ แล้วสรุปท้ายด้วยการยึดอำนาจในช่วงเย็นของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ในวันนี้แม้ ผบ.ทบ.สั่งยกเลิกไม่ให้เปิดในสถานีวิทยุแล้ว แต่การเปิดเสียงตามสายตามที่ทำการของเหล่าทัพก็ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น ณ วันนี้เราควรลดเงื่อนไขต่างๆ ตนขอเสนอให้ตามหาเพลงคืนความสุขมาเปิดแทน หรือไม่กล้าเปิด เพราะเพลงคืนความสุขฟ้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นความจริง ทำให้ตนคิดว่าอาจจะไม่มีเลือกตั้ง เพราะเมื่อได้ยินเพลงนี้ทีไรจะตามมาด้วยการรัฐประหารทุกครั้ง

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ประเทศไทยไม่มีใครสรุปได้ว่าจะไม่มีการรัฐประหารกันอีกแล้ว และเชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะไม่ได้เสียงมากเท่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะฉะนั้นพรรค พปชร.จะไม่มีความชอบธรรมใดๆ ในการเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผิดคุณสมบัติในการถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หากใช้มาตรฐานเดียวกันกับที่พยายามยุบอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ก็ควรยุบพรรค พปชร.ด้วย ทั้งนี้ คิดว่าปรากฏการณ์ต่างๆ ทุกวันนี้ ระหว่างมีหรือไม่มีการเลือกตั้งยัง 50-50 กันอยู่

นายจตุพรกล่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์เอาเปรียบคู่ต่อสู้เป็นการเอาเปรียบที่ไม่ชนะ สูญเสียความชอบธรรมที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อไม่ชอบธรรมแล้ว ประวัติศาสตร์ก็บอกว่า ถ้ายังเดินต่อไปก็ต้องจบด้วยคำว่าทรราช อยากขอเตือนว่า วันเวลาของผู้มีอำนาจมีสองเส้นทางเสมอ คือลงอย่างคนปกติ กับลงอย่างทรราช ท้ายที่สุดหลายคนมักจะเลือกเส้นทางทรราชเสมอ และจบไม่สวยสักคน

มติชนออนไลน์