ข่าวเด่นรอบสัปดาห์ : คุกแกนนำ พธม. / นายกฯดันแก้ PM2.5 วาระแห่งชาติ / ครม.ให้หยุดเพิ่มช่วงสงกรานต์

จำคุก 6 แกนนำพันธมิตรฯ 8 เดือน คดีบุกรุกยึดทำเนียบ

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน หรือกลุ่มการเมืองสีเขียว และอดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ กรณีบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เหตุเกิดระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 โดยผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยดังกล่าวเป็นแกนนำได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เพื่อกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกก็ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ได้ใช้เครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เห็นว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดจริง จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 แก้เป็นจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จำเลยยื่นฎีกา โดยในวันนี้ ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้ง 6 คนมาฟังคำพิพากษา ความว่า ศาลพิจารณาฎีกาของจำเลยทั้งหกแล้วเห็นว่า ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่จำเลยอ้างที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งหกฐานร่วมกันบุกรุกทำให้เสียทรัพย์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งหกฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้จำคุกคนละ 8 เดือน จากนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็จะนำตัว พล.ต.จำลอง, นายพิภพ, นายสมเกียรติ, นายสมศักดิ์, นายสุริยะใส ซึ่งเคยได้รับการประกันตัว ไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรับโทษตามคำพิพากษาต่อไปเช่นเดียวกับนายสนธิที่อยู่ในเรือนจำในคดีอื่นอยู่แล้ว

ครม.เอาใจชาวบ้านเพิ่มวันหยุด ช่วงสงกรานต์ 12-16 เม.ย.

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติอนุมัติวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษในปี 2562 โดยกำหนดให้วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ทำให้มีวันหยุดติดต่อกัน 12-16 เมษายน 2562 ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันทางการเงิน และภาคเอกชนนั้น ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น หรือมีราชการสำคัญในวันดังกล่าว โดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหาย หรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน การกำหนดวันศุกร์ที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ จะทำให้ปี 2562 มีวันหยุดเพิ่มอีก 1 วัน เมื่อนับรวมกับวันที่ 6 พฤษภาคม 2562 ที่ ครม.ได้อนุมัติไปเมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา จะทำให้ปี 2562 มีวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งสิ้น 2 วัน

นายกฯ ยกแก้ PM 2.5-PM 10 เป็นวาระแห่งชาติ

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานว่า สถานการณ์ฝุ่นละอองใน กทม.ดีขึ้น มีเพิ่มบ้าง ลดบ้าง แต่ยังต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แต่ต้องทำต่อไป จึงได้ขอมติเห็นชอบจาก ครม.ให้การกำจัดฝุ่นละออง PM 2.5 และ PM 10 เป็นวาระแห่งชาติ ที่มีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้องเพื่อให้จัดการปัญหาฝุ่นละอองอย่างยั่งยืน จัดลำดับความเร่งด่วน แก้ปัญหาอย่างจริงจัง และต้องไม่ยกเลิกความเข้มงวด ส่วนของต่างจังหวัดที่มีค่าฝุ่นละอองมากขึ้นจากการเผาในที่โล่งในที่แจ้ง ต้องไปแก้ปัญหาที่ต้นทางว่าทำไมถึงเผา ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการคิดราคาเครื่องไม้เครื่องมือที่มีราคาแพง วันนี้ได้สั่งการ ครม.ไปแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว จากการเผาไร่นาทั้งหมด สำหรับไร่อ้อยที่เพาะปลูกเป็นจำนวนมากในหลายพื้นที่ เมื่อเก็บเกี่ยวก็เก็บเกี่ยวพร้อมกันทั้งหมด ทุกคนเร่งตัดแล้วเผาตอต้นอ้อย ต้องไปดูวิธีการปรับปรุง ฉะนั้น เราต้องแก้ที่ต้นตอ ถ้าแก้ซ้ายทีขวาทีก็ไปไม่ได้ทั้งหมด ต้องหามาตรการที่ยอมรับได้เป็นระยะๆ ในการแก้ปัญหาทุกปัญหา ไม่ใช่แก้ปัญหาครั้งเดียวแล้วเสร็จสิ้น ถ้าทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน

เพิ่มงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี “63 วงเงิน 1.91 แสนล้าน/เพิ่ม 173 บาทต่อหัว

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 1.91 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 6,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินเข้าสู่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1.41 แสนล้านบาท มีประชาชนผู้ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพ 48.26 ล้านคน ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขรวบรวมข้อมูลอย่างใกล้ชิด และทันสมัยต่อการให้บริการประชาชนโดยไม่ส่งผลกระทบต่องบประมาณของประเทศ ยืนยันว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสมทำให้การให้บริการสาธารณสุขมีความเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ งบฯ ที่เพิ่มขึ้นมาจะทำให้งบฯ บริการทางการแพทย์รายหัวมีวงเงิน 1.74 แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราเหมาจ่ายรายหัว 3,600 บาท/คน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 เป็นเงินจำนวน 173 บาท/คน จากการเพิ่มงบประมาณทำให้เพิ่มโอกาสให้เข้าถึงแพทย์มากขึ้น