ทำไมเศรษฐกิจโลกน่าห่วง! ? สำรวจสำนักข่าวเทศ รายงานสถานการณ์แต่ละที่ที่น่าวิกฤติ!

Chinese investors sit in front of a screen showing stock market movements at a securities firm in Hangzhou, eastern China's Zhejiang province on May 31, 2016. Asian stocks rose on May 31, led by a surge in Shanghai, while the dollar edged higher as traders weighed the fallout from a likely US interest rate rise this summer. / AFP PHOTO / STR / China OUT

จีน

ปักกิ่ง – สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติ (เอ็นบีเอส) ของจีน เปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 21 มกราคม ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2561 ที่ผ่านมา ถือว่าชะลอตัวมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ โดยจีนสูญเสียพลังการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจไปมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีท่ามกลางปัญหาหนี้สูงและการเผชิญกับสงครามการค้าสหรัฐ

ข้อมูลของเอ็นบีเอสชี้ว่า ปี 2561 เศรษฐกิจจีนเติบโตร้อยละ 6.6 ซึ่งเกินเป้าที่ทางการจีนตั้งไว้ที่ร้อยละ 6.5 แต่เป็นระดับที่ตรงกับที่เหล่านักวิเคราะห์คาดการณ์ และเป็นการขยายตัวลดลงจากร้อยละ 6.8 ในปี 2560 โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีโตเพียงร้อยละ 6.4 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับในช่วงเกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อ 10 ปีก่อน ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจจีนจะยิ่งชะลอตัวหนักมากขึ้นในเร็วๆ นี้

นายหนิง จี้ เจ๋อ กรรมาธิการเอ็นบีเอส กล่าวถึงประเด็นการกีดกันทางการค้าว่า ทำให้ทุกคนวิตกเพราะก่อให้เกิดตัวแปรและปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้นในสถานการณ์ระหว่างประเทศและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มูลค่าการค้ารวมมีสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทั้งหมด แต่ยืนยันว่า โดยรวมแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นยังควบคุมได้

ขณะที่เหล่านักวิเคราะห์มองว่าการเผชิญหน้าทางการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง และยังเป็นผลจากปริมาณหนี้ที่พุ่งสูงขึ้น จนเป็นความเสี่ยงทางการเงินกับปัญหามลพิษในประเทศอีกด้วย

สหรัฐอเมริกา

วอชิงตัน – เมื่อวันที่ 21 มกราคม สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุเตือนว่าการเผชิญหน้าทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปัญหาเบร็กซิท และภาวะไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยคุกคามที่จะฉุดลากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกให้ดำดิ่งลงมากไปอีก เป็นผลให้ไอเอ็มเอฟต้องปรับลดการคาดการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้าลง โดยไอเอ็มเอฟคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของโลกในปีนี้จะเติบโตที่ร้อยละ 3.5 ลดลงจากที่ไอเอ็มเอฟเคยประมาณการเอาไว้ในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.7 ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2563 คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3.6

รายงานของไอเอ็มเอฟระบุว่า เขตเศรษฐกิจหลายชาติสำคัญได้เห็นการปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจลงอย่างมาก ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงเยอรมนี อิตาลี และเม็กซิโก ส่วนฝรั่งเศสปรับลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี สองชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกคือสหรัฐอเมริกาและจีน ที่เป็นต้นตอก่อภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจโลกนั่นคือการทำสงครามการค้าระหว่างกัน ยังไม่มีการปรับการลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจลงไปมากแต่อย่างใด โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้จะเติบโตร้อยละ 2.5 และในปีหน้าโตร้อยละ 1.5 ส่วนเศรษฐกิจจีนคาดว่าทั้งในปีนี้และปีหน้าจะเติบโตที่ร้อยละ 6.2

(Photo by Anthony WALLACE / AFP)


จีน

ปักกิ่ง – เมื่อวันที่ 21 มกราคม สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า นายเหอ เจี้ยน ขุ่ย นักวิทยาศาสตร์ชาวจีน ที่อ้างว่าประสบความสำเร็จในการสร้างทารกตัดแต่งพันธุกรรมรายแรกของโลกจะถูกสอบสวนอย่างหนักในคดีนี้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการให้การยืนยันว่ามีผู้หญิงรายที่ 2 ที่กำลังตั้งครรภ์ทารกที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมในโครงการวิจัยของนายเหออยู่ด้วย

ทั้งนี้ นายเหอทำให้วงการวิทยาศาสตร์โลกตกตะลึงไปทั่วหลังจากนายเหอประกาศอ้างว่าประสบความสำเร็จในการสร้างทารกตัดแต่งพันธุกรรมที่เป็นการป้องกันทารกจากการติดเชื้อเอชไอวีได้ โดยทารกที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมดังกล่าวเป็นทารกแฝดเพศหญิงที่คลอดออกมาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา

ในการกล่าวในที่ประชุมว่าด้วยพันธุกรรมมนุษย์ที่ฮ่องกงก่อนหน้านี้ นายเหอกล่าวว่า ยังมีการตั้งครรภ์ทารกที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับคู่สามี-ภรรยารายที่ 2 ซึ่งจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของทางการจีนหลังจากนั้นให้การยืนยันว่าหญิงรายที่ 2 ซึ่งตั้งครรภ์ทารกตัดแต่งพันธุกรรม กำลังตั้งครรภ์อยู่จริง ส่วนผู้หญิงรายแรกและทารกแฝดหญิงที่เกิดจากการตัดแต่งพันธุกรรมในโครงการวิจัยของนายเหอที่คลอดออกมาแล้วนั้นจะอยู่ภายใต้การเฝ้าสังเกตการณ์ทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดต่อไป

ด้านชุดสอบสวนของทางการจีนเปิดเผยกับซินหัวว่า สิ่งที่นายเหอทำนั้นก็เพื่ออยากทำให้ตนเองมีชื่อเสียงและใช้เงินทุนส่วนตัวในงานวิจัยดังกล่าว ซึ่งมีคู่สามี-ภรรยาที่เป็นกลุ่มอาสาสมัครทั้งหมด 8 คู่ โดยพ่อมีผลเลือดบวกต่อเชื้อเอชไอวี และแม่มีผลเป็นลบ ที่ได้ลงนามเข้าร่วมโครงการวิจัยของนายเหอ

แต่จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่ามีสามี-ภรรยาคู่หนึ่งที่เป็นอาสาสมัครได้ถอนตัวออกไปในภายหลัง