‘อาเซียน-อียู’ เห็นพ้อง ยกระดับความสัมพันธ์เป็น ‘หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์’

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-สหภาพยุโรป(อียู) ครั้งที่ 22 ได้เห็นชอบในหลักการที่จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันเข้าสู่สถานะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์”

ทั้งนี้มีรายงานว่าเดิมอาเซียน-อียูจะประกาศยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการประชุมครั้งนี้ แต่เกิดปัญหาติดขัดขึ้นเนื่องจากอินโดนีเซียและมาเลเซียไม่พอใจต่อนโยบายของอียู ที่จำกัดการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากทั้ง 2 ประเทศ เป็นเหตุให้ที่ประชุมจึงเพียงแต่รับรองในหลักการต่อการยกระดับสถานะความสัมพันธ์ระหว่างกันเท่านั้น โดยอียูยังได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับประเทศที่เกี่ยวข้องของอาเซียนเพื่อจัดการกับประเด็นน้ำมันปาล์มต่อไป

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานอาเซียนปัจจุบันระบุว่า แม้จะไม่ได้มีการรับรองสถานะอย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ แต่อาเซียนและอียูก็เห็นด้วยในหลักการต่อการยกสถานะความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เรื่องดังกล่าวไม่ถือเป็นปัญหาและไม่มีใครติดใจอะไร มันไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องมาแตกหักกัน เพราะในทางปฏิบัติ อาเซียน-อียูก็ถือเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องรอเวลาเพื่อจะนำไปสู่การประกาศอย่างเป็นทางการต่อไปเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้ก็อาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ที่ไทยจะเป็นประธานการประชุมผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา

นายดอนกล่าวอีกว่า ในการหารือยังได้มีการพูดถึงสถานการณ์ในรัฐยะไข่ของเมียนมา โดยมีการเปิดโอกาสให้เมียนมาพูดให้ข้อมูลเพิ่มเติมให้เกิดความชัดเจนในหลายจุด จากนั้นอาเซียนจึงพูดว่าเมียนมาได้พยายามดำเนินการอะไรบ้างและมีผลคืบหน้าพอควร แต่การจัดการในเรื่องนี้ต้องใช้เวลา จึงหวังว่าทุกฝ่ายจะให้โอกาสเมียนมา ขณะที่ที่ผ่านมาอาเซียนเองก็ได้ทำงานในภาพรวมเพื่อช่วยเมียนมา รวมถึงร่วมมือกับประเทศที่ 3 ฝ่ายอียูมีความพอใจกับภาพที่สะท้อนออกไปให้เห็น ไม่มีการตั้งคำถาม แสดงความขัดข้องใจหรือติดใจอะไรเป็นพิเศษ และไม่ได้คิดว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นปัญหาเรื้อรังชนิดที่ไม่มีทางออก เพราะที่ผ่านมาทุกฝ่ายไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เพียงแต่การดำเนินการอาจไม่รวดเร็วอย่างที่หลายฝ่ายต้องการ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังได้พูดคุยหารือเกี่ยวกับความพร้อมของทั้งสองฝ่ายที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้มีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น รวมถึงแตกแขนงความร่วมมือออกไปเพื่อให้เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นด้วย โดยหนึ่งในประเด็นที่มีการหารือกันคือการเพิ่มพูนความร่วมมือเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างอาเซียนกับอียู ซึ่งจะมีการร่วมมือกันให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพราะเห็นว่าจะเป็นความร่วมมือที่มีประโยชน์และมีความหมายอีกแขนงหนึ่ง นอกเหนือจากความร่วมมือในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

ทั้งนี้แถลงการณ์ของที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-อียู ครั้งที่ 22 ยังได้มีการแสดงความชื่นชมยินดีต่อแนวคิดหลักในการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ภายใต้ธีม “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” อีกด้วย โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-อียูยังแสดงความพอใจต่อการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างอาเซียน-อียูที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อปี 2560 พร้อมกับแสดงความคาดหวังและตั้งตารอคอยที่จะจัดการหารือครั้งต่อไปอีกด้วย

มติชนออนไลน์