“เกศปรียา” เผย ดัชนีทุกด้านชี้ชัด “รัฐประหาร” ตัวปัญหาทำลายประเทศ ไม่ใช่ทางแก้

วันที่ 17 มกราคม 2562 นางสาวเกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ เผยว่าจากการศึกษาดัชนีของประเทศไทยเปรียบเทียบ 5 ปีก่อนและหลังการรัฐประหารทั้ง ดัชนีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ดัชนีคอรัปชั่น ดัชนีความยุติธรรม ดัชนีความเป็นประชาธิปไตยดัชนีมลภาวะ Pollution Index ได้ผลทางเดียวกันคือดัชนี้เหล่านี้ไม่ดีขึ้นมีแต่คงสภาพเดิมหรือลดลง โดยเปรียบเทียบ ระหว่างก่อนปี 2558 หรือปีค.ศ. 2015 กับปี 2561 – 2562 หรือ ปี ค.ศ. 2018 – 2019

โดยเริ่มที่ดัชนีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในปีก่อน 2558 ไทยอยู่อันดับที่ 11 ของโลก ปี 2561 ไทยอยู่อันดับที่ 1 ของโลก 4 ปีผ่านไปเผด็จการทหารทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมาทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 1 สูงที่สุดในโลก

ดัชนีคอรัปชั่น (CORRUPTION PERCEPTIONS INDEX) ปี 2558 ไทยอยู่อันดับที่ 76 ด้วยคะแนน 38 ปี 2561 ไทยอยู่อันดับที่ 96 ด้วยคะแนน 37 ดัชนีนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลการยึดอำนาจของเผด็จการทหารในการจะมาปราบโกงนักเลือกตั้ง แต่ประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของเผด็จการอำนาจนิยม 4 ปีกว่าๆ อันดับดัชนีคอรัปชั่นกลับแย่ลงและคะแนนก็ต่ำลง คือการปราบโกงเป็นแค่ลมปากโฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายฝั่งตรงข้าม นอกจากนี้ไทยยังได้รับอันดับที่ 15 ในฐานะแหล่งฟอกเงิน-เลี่ยงภาษีของมหาเศรษฐีและผู้ทรงอำนาจทั่วโลกในปี 2561 จากรายงาน Financial Secrecy Index 2018

ในด้านดัชนีความยุติธรรมรายงานที่มีชื่อว่า WJP Rule of Law Index ปี 2558 สถานะการปกครองด้วยหลักนิติรัฐของไทยอยู่ในอันดับที่ 56 ปี 2561 ไทยอยู่ในอันดับที่ 71 จากทั้งหมด 113 เขตปกครองทั่วโลกในช่วงปี 2560 ปัจจัยชี้วัดที่ไทยทำทำคะแนนได้ต่ำที่สุดก็คือด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (0.40) รายงานนี้ก็เป็นการสนับสนุนว่าการการรัฐประหารยึดอำนาจจากประชาชนคือการทำลายประเทศไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะกระบวนการยุติธรรมก็ถูกลดอันดับลงถึง 15 อันดับในเวลา 4 ปีกว่าๆ

ดัชนีความเป็นประชาธิปไตยจากรายงานชื่อ Democracy Index รายงานฉบับนี้ใช้ตัวชี้วัด 5 ข้อใหญ่ คือ กระบวนการเลือกตั้ง เสรีภาพพลเมือง การทำหน้าที่ของรัฐบาล การมีส่วนร่วมทางการเมือง และวัฒนธรรมทางการเมือง โดยจัดกลุ่มประเทศต่างๆ ตามลักษณะของการปกครอง คือ ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ประชาธิปไตยบกพร่อง ระบอบผสมหรือประชาธิปไตยครึ่งใบ และระบอบอำนาจนิยม ดัชนีความเป็นประชาธิปไตยไทยปี 2558 อยู่ในอันดับ 98 ด้วยคะแนน 5.09 ปี 2018 รั้งอันดับที่ 106 ด้วยคะแนน 4.63 จากคะแนนเต็มสิบ ข้อที่น่าสังเกตุสำหรับดัชนีนี้คือประเทศไทยไม่เคยเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยสมบูรณ์ เป็นเพียงการปกครองแบบครึ่งใบ แต่ถ้ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งคะแนนจะสูงกว่ารัฐบาลมาจากการรัฐประหาร

ดัชนีมลภาวะ Pollution Index อากาศเป็นพิษในกรุงเทพมหานครในปี 2558 กทม. อยู่ในอันดับ 74 คะแนน 72.28 ปี 2561 กทม. อยู่ในอันดับ 71 คะแนน 73.66 ปัจจุบัน มกราคม 2562 กรีนพีชจัดให้ กทม.อยู่ในอันดับ 9 เมืองหลวงที่มีคุณภาพอากาศแย่ แม้กระทั่งปัญหาสิ่งแวดล้อมถ้าประเทศมีผู้บริหารจัดการที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีการวางแผนก็ทำร้ายประเทศและประชาชนได้เช่นกัน ตนไม่ได้กล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐาน เพราะวันก่อนรองนายกประวิตรตอบเองว่า “ฝุ่นเยอะรออีก 3 ปีสร้างรถไฟฟ้าเสร็จก็หาย และฝุ่นพิษอยู่ได้ไหมถ้าอยู่ไม่ได้ก็กลับบ้านนอน” จากคำตอบนี้แสดงว่าคณะรัฐประหารไม่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหา แต่ต้องการมีอำนาจไว้เพื่อกดขี่ประชาชนและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง

โฆษกพรรคเพื่อชาติกล่าวต่อว่าตนและคนรุ่นใหม่ของประเทศอยากขอร้องให้ผู้สูงอายุอนุรักษ์นิยมที่อ้างตัวว่ารักชาติ ทำเพื่ออนาคตของลูกหลาน เสียสละละกิเลสพาตนเองออกจากแวดวงการยึดอำนาจ สืบต่ออำนาจในการบริหารประเทศเสียที เพราะพวกท่านคงจะอยู่ในประเทศไทยไม่เกิน 20 ปี แต่คนรุ่นใหม่แบบตนต้องทนสภาพความถอยหลังของประเทศอยู่อีก 60 ปีขึ้นไป ถ้าหากพวกเผด็จการทหารสูงอายุเหล่านี้ยังเห็นแก่ตัวต่อไป สังคมไทยก็จะเผชิญปัญหาสังคมผู้สูงอายุอย่างหนักหน่วงในช่วงเวลาอันใกล้ เพราะคนรุ่นใหม่อย่างตนไม่คิดผลิตประชากรไทยเพิ่มมาให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมและอำนาจนิยมกดขี่และทำร้ายเช่นคนรุ่นตนอีกต่อไป