“เพื่อชาติ” เตือน “รบ.-คสช.” อย่าประเมินต่ำไป “เลื่อนเลือกตั้ง” อาจลามถึงขั้นการต่อต้านครั้งใหญ่

ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า จากการที่พรรคเพื่อชาติ ได้เดินสายพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน ถึงความลำบาก เดือดร้อน โดยเฉพาะปัญหาปากท้องที่ต้องการแก้ไขอย่างเร่งด่วน และประชาชนก็มีความเบื่อหน่ายต่อการบริหารประเทศของรัฐบาล ส่วนใหญ่ต่างต้องการให้เกิดการเลือกตั้งโดยเร็ว ด้วยเป็นความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ “รัฐบาลบุญเลื่อน” ก็เลื่อนการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่า รวมถึงครั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นี้ด้วย จึงเกิดกระแสต่อต้านขึ้น โดยเฉพาะครั้งนี้เป็นกระแสที่รุนแรงมากกว่าทุกครั้ง เพราะถือว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวได้ประกาศท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะจัดเลือกตั้งขึ้นในวันดังกล่าว จึงเสมือนเป็นสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับคนไทย และเป็นที่รับรู้ต่อนานาอารยะประเทศ ทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนต่างแสดงออกถึงความไม่พอใจเมื่อรัฐบาลมีแน้วโน้วที่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก

กระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยเฉพาะทวิตเตอร์ และ เฟสบุค แม้กระทั่งกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อน ก็ออกมาเรียกร้องไม่ให้เลื่อนการเลือกตั้ง กอปรกับ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ที่วางมือจากการชุมนุมมาสักพักหนึ่ง แต่เมื่อมีการประกาศหรือมีท่าทีเลื่อนเลือกตั้ง ก็ได้ออกมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ในรูปแบบแฟลชม็อบ มีการแจ้งเรื่องตาม พรบ.ชุมนุมสาธารณะเรียบร้อย เพียงแค่ครั้งแรกของการนัดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันที่ 6 ม.ค.62 ผลตอบรับดีเกินคาด จึงเกิดการนัดชุมนุมอีกครั้งที่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 8 ม.ค. 62 และนัดรวมพลทั่วประเทศในวันที่ 13 ม.ค.62 โดยกลุ่มมีเป้าหมายที่จะจัดชุมนุมแบบนี้อย่างต่อเนื่องต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน ก็ยังมีองค์กรภาคประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา หลายแห่งก็ได้ออกแถลงการณ์ แสดงออกถึงการคัดค้านการเลื่อนเลือกตั้ง แสดงให้เห็นว่าหลายภาคส่วนได้เริ่มจัดกิจกรรมคัดค้านการเลือกตั้ง ถึงแม้จะไม่มีแกนนำที่ชัดเจน เป็นการชุมนุมอย่างไม่มีรูปแบบ แต่ก็แฝงไปด้วยพลัง และอุดมการณ์อันแรงกล้า ที่รัฐบาล หรือ คสช. จะประมาทไม่ได้

ดร.รยุศด์ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา ที่ดูเหมือนว่าประเทศสงบนั้น ก็เกิดจาก การบังคับใช้กฎหมาย ประกาศ คำสั่ง คสช.ฉบับต่างๆ ที่คอยกดเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนอยู่ เมื่อมีการปลดล็อคคำสั่ง คสช.9 ฉบับ ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะยังคงมีเงื่อนไขบางอย่าง แต่ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงออกได้มากขึ้น คนเราส่วนใหญ่หากไม่มีเรื่องอะไรเดือดร้อน กระทบตัวเอง ยากที่จะออกมาเรียกร้องอะไร แต่นี่ คนส่วนใหญ่ของประเทศ ต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากผลการบริหารงานประเทศของ คสช. เหตุผลและข้ออ้างในการเข้าสู่อำนาจของพวกเขานั้น ก็คือข้ออ้างจริงๆ อาทิเช่น ปัญหาคอร์รัปชั่น ที่ไม่ใช่ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันไม่มี แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ต่างหาก

“จากปัจจัยหลายๆข้อ ดังที่กล่าวมานี้ ตนคิดว่า เรากำลังรอฟางเส้นสุดท้ายสักเส้นหนึ่ง ที่ความอดทน อดกลั้นของประชาชนจะขาด และออกมาต่อต้านอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วทั้งประเทศ ประวัติศาสตร์ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญ ซึ่งในอดีตอาจจะต่างกันที่โลกปัจจุบันมีโซเชียลมีเดีย การรวมตัวกันของคน อาจจะต่างออกไปจากอดีต เกิดขึ้นเร็วและง่าย ใช้เวลาในการติดต่อสื่อสารกันชั่วข้ามคืนก็เกิดเป็นพลังมหาศาลที่จะล้มรัฐบาลทหารได้โดยง่ายดังเช่นที่เคยเกิดมาแล้วในต่างประเทศ แต่ด้วยการควบคุมประเทศมาเกือบห้าปี คสช.คงจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมประชาชนได้ ในหลายๆวิธีการ อาทิ ข่มขู่ให้หวาดกลัว ไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว ต่อต้าน การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ เป็นต้น แต่หากถึงวันใดที่ประชาชนไม่ยอมอีกแล้ว กระแสสังคมถูกจุดติด ลุกลามบานปลาย จนยกระดับเป็นการชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศ ขึ้นมา เพื่อขับไล่ นายกรัฐมนตรี รัฐบาล ก็มีความเป็นไปได้สูง หาก คสช.เมินความรู้สึกของสังคม และประเมินพลังของประชาชนต่ำไป ซึ่งอาจส่งผลต่อรัฐบาล คสช. อย่างคาดไม่ถึง ประวัติศาสตร์ได้บอกแล้วว่า ผู้ก่อการรัฐประหารทุกคณะจุบจบเป็นเช่นไร หากตอนนี้ เวลานี้ และขณะนี้ตนเชื่อว่ายังทันยังพอลงได้ แม้จะลำบากหน่อย แต่ถ้าลงช้ากว่านี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. รวมถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ คณะ ระวังจะลงไม่สวย ตนอยากเตือนท่านด้วยความเป็นห่วง อยากให้ท่านศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดี และดูตัวอย่างอดีตผู้นำในต่างประเทศหลังหมดอำนาจว่าเป็นเช่นไร อำนาจไม่ได้ยั่งยืน ดังนั้นจึงอย่าประเมินความรู้สึกและพลังของประชาชนต่ำไป” รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าว