สรุปข่าวในประเทศ : ไฟเขียว พ.ร.บ.คู่ชีวิต / ปชป.เสนอชื่อ “อภิสิทธิ์” ชิงนายกฯคนเดียว / กัญชาใช้การแพทย์ได้

ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสได้

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต พ.ศ. … ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เนื่องจากปัจจุบันมีกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเหมือนครอบครัวปกติ แต่ไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิและหน้าที่รับรองในการเป็นคู่ชีวิต เพราะกฎหมายรับรองการจดทะเบียนสมรสของชายกับหญิงเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนและการดำเนินชีวิตของสังคมปัจจุบัน และเพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ รัฐบาลจึงได้ผลักดันกฎหมายฉบับนี้ เพื่อการสร้างครอบครัวของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ และการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ที่กำหนดให้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 ซึ่งไทยนับเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีการผลักดันกฎหมายในลักษณะนี้ โดย “คู่ชีวิต” ที่ไม่ได้หมายความว่าเป็นชายและหญิงเท่านั้น จะสามารถจดทะเบียนสมรสได้เมื่อมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องมีสัญชาติไทย โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องแสดงคำร้องและความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน

ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะส่งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณา ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ คาดว่าจะใช้เวลาอีก 120 วัน ส่วนจะทัน สนช.ชุดนี้พิจารณาหรือไม่นั้นไม่ทราบ ให้ สนช.พิจารณาตามลำดับความเหมาะสม

ปชป.เสนอชื่อ “อภิสิทธิ์” ชิงนายกรัฐมนตรีคนเดียว

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครลงรับเลือกตั้งของพรรค ได้ประชุมเพื่อคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตทั้ง 350 คนแล้ว และจะนำรายชื่อเสนอต่อที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 27 ธันวาคมต่อไปโดยมีผู้สมัครหน้าใหม่เกือบ 100 คน ทดแทนอดีต ส.ส.ที่ย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นด้วย ส่วนการพิจารณาผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้น กรรมการสรรหาวางหลักเกณฑ์ไว้ 7 ข้อ คือ 1.ผู้บริหารตามโครงสร้างพรรค 2.ผู้อาวุโสของพรรค 3.ผู้มีอุปการคุณ 4.กลุ่มผู้หญิง 5.ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เดิมที่มีผลงาน 6.ส.ส.เขตที่ต้องการขึ้นบัญชีรายชื่อ และ 7.คนรุ่นใหม่ที่ช่วยงานพรรค โดยจะสรุปรายชื่อทั้ง 150 คนหลังปีใหม่ โดยคาดว่า 10 อันดับแรกจะประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นายกรณ์ จาติกวณิช นายอิสสระ สมชัย นายจุติ ไกรฤกษ์ และนายอัศวิน วิภูศิริ โดยในส่วนของนายสุรบถ หลีกภัย หรือปลื้ม บุตรชายนายชวน ก็แสดงความจำนงลงสมัครใน ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับนักการเมืองรุ่นใหญ่ที่มีแนวโน้มว่าจะวางมือ คือ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เจ้าของฉายาโฆษกสามสี นายเจริญ คันธวงศ์ อดีต ส.ส.กทม.หลายสมัย และนายไพฑูรย์ แก้วทอง ที่จะให้นายนราพัฒน์ บุตรชายย้ายจากการลงเขตมาลงบัญชีรายชื่อแทน อนึ่ง ในส่วนของบัญชีรายชื่อผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี 3 รายชื่อที่พรรคสามารถส่งได้ตามรัฐธรรมนูญนั้น ได้บทสรุปว่าจะส่งคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว

สนช.ผ่านแล้ว “กัญชา-กระท่อม” พ้นยาเสพติดประเภท 5-ใช้การแพทย์ได้

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ วาระ 2-3 จำนวน 28 มาตรา ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ที่มีนายสมชาย แสวงการ เป็นประธาน พิจารณาเสร็จแล้ว สาระสำคัญร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวคือให้กัญชาและกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดประเภท 5 สามารถนำไปศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสามารถนำไปใช้รักษาโรคภายใต้การควบคุมและดูแลทางการแพทย์ได้ ทั้งนี้ การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย หรือการศึกษาวิจัยพัฒนา รวมถึงเกษตรกรรม พาณิชยกรรม วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรม เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต คือเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ และประกาศกำหนดลักษณะกัญชงที่มีลักษณะตามกำหนดในราชกิจจานุเบกษาส่วนการผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง หรือจำหน่ายกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้นั้น ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎกระทรวงกำหนด และความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ทั้งนี้ หากมีปริมาณการครอบครองเกิน 10 กิโลกรัม ให้สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย

คาดสะพัดปีใหม่ 1.35 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์-ผล รบ.แจกเงิน

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี 2562 คาดว่ามีเงินสะพัด 1.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% เทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา แบ่งเป็นการใช้จ่ายคนกรุงเทพฯ 6.22 หมื่นล้านบาท และคนต่างจังหวัด 7.30 หมื่นล้านบาท การใช้จ่ายผู้บริโภคช่วงเทศกาลปีใหม่ มูลค่า 1.35 แสนล้านบาท ถือเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากได้อานิสงส์จากการเพิ่มเงินให้กับผู้มีรายได้น้อยอีก 500 บาท รวมถึงพรรคการเมืองเริ่มลงพื้นที่เพื่อเตรียมพร้อมในการเลือกตั้ง สินค้าเกษตรบางตัว อาทิ มันสำปะหลัง และข้าวหอมมะลิ มีราคาดีขึ้น สำหรับแผนการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงปีใหม่ 2562 คาดว่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 135,279.74 ล้านบาท แบ่งเป็น เลี้ยงสังสรรค์ 10,005.54 ล้านบาท ทำบุญ 7,394.86 ล้านบาท อุปโภคบริโภค 17,418.69 ล้านบาท และแบ่งออกเป็นการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในประเทศ 58,689 ล้านบาท

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้ว่ามูลค่าการใช้จ่ายจะสูงสุดนับตั้งแต่มีการสำรวจมา แต่ประชาชนมีการระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะมองว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังไม่โดดเด่น ทั้งยังกังวลในเรื่องของสงครามการค้าจีนกับสหรัฐ

สำหรับในเรื่องของการเลือกตั้งนั้น ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความคึกคักในช่วงปีใหม่ รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1/2562 เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 40,000 ล้านบาท ทั้งที่อยู่บนดินและใต้ดิน