“พชร” ชูนโยบาย “โค้ดประเทศไทย” ชี้ปฏิรูปแท้จริงต้องจับต้องได้มากกว่าประดิษฐ์วาทกรรม

วันที่ 24 ธันวาคม 2561 นายพชร นริพทะพันธุ์ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช) ลูกชาย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนไทยจำนวนมากอยากเห็นการปฏิรูปประเทศไทยในทุกด้าน เพื่อให้ประเทศพัฒนาแบบก้าวหน้า และเป็นการปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริงที่จับต้องได้ ไม่ใช่เป็นแค่วาทกรรมเหมือนที่ผ่านมา จึงขอเสนอนโยบายที่เรียกว่า โค้ดประเทศไทย ที่จะเปิดกว้างให้ประชาชนที่มีความรู้ความสามารถในทุกภาคส่วน เข้ามาช่วยระดมความคิดและลงมือปฏิบัติในการปฏิรูปประเทศไทยได้จริง ด้วยการใช้เทคโนโลยี ซึ่งหากอยากเปลี่ยนประเทศให้พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะในระบบราชการที่เป็นปัญหาอยู่ ก็สามารถเข้าร่วมพัฒนาเขียนโค้ดเพื่อทำให้เข้าไปแก้ไขได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทำสำเร็จในหลายด้านมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐมีการพัฒนาโค้ดให้ผู้เคยต้องโทษแต่ได้รับการภาคทัณฑ์สามารถรายงานตัวผ่านไบโอเมทริกได้ หรือ การว่าจ้างผู้เคยต้องโทษทำงานด้านไอทีโดยไม่ต้องเจอหน้ากันกับผู้ว่าจ้าง และสามารถโอนเงินชำระค่าจ้างโดยไม่ต้องเจอหน้ากัน เพื่อให้ผู้เคยต้องโทษมีงานทำโดยไม่ต้องกลับไปเป็นนักโทษอีก นี่เป็นเพียงบางตัวอย่าง เท่านั้น

“สำหรับประเทศไทย นโยบายโค้ดประเทศไทยนี้จะช่วยลดขั้นตอนราชการ ลดการเดินทาง และ บรรเทาการจราจร ลดค่าใช่จ่าย และยังสร้างงานให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก ใครอยากเห็นประเทศเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างไรก็ช่วยกันคิดและลงมือทำโดยการพัฒนาโค้ดขึ้นมา และหากเห็นว่าทำได้จริงและเป็นประโยชน์ รัฐบาลหลังการเลือกตั้งหาก พรรค ทษช. ชนะการเลือกตั้ง จะทำเรื่องนี้ให้เป็นจริง และ สามารถปฏิรูปประเทศจากเรื่องเล็กๆ ขึ้นไปสู่เรื่องใหญ่ได้ ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้ทุกคนช่วยกันปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว” นายพชร กล่าว

ทั้งนี้ นายพชรกล่าวว่า และท้ายสุดแล้ว ประเทศไทยจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เรื่องเร่งด่วนที่เป็นปัญหาหลักๆ ของประเทศและประชาชน เช่น การพัฒนาช่องทางในการเพิ่มรายได้ การพัฒนาระบบราชการ การแก้ไขการจราจรที่ติดขัด การปราบปรามยาเสพติด การประหยัดเวลาการเดินทาง การถูกรีดไถโดยข้าราชการ การป้องกันและปราบปรามคอรับชั่น ฯลฯ สามารถช่วยกันคิดและพัฒนาดำเนินการได้ในทันที เชื่ออย่างยิ่งว่านี่จะเป็นความก้าวหน้าที่ไทยจะพัฒนาก้าวทันโลกได้ทันและเป็นพื้นฐานที่ไทยจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง