“หมอเลี๊ยบ” เผย 4 สาเหตุ “เพื่อแผ่นดิน-มัชฌิมา” แพ้ยับในสนามเลือกตั้ง 50

วันที่ 23 ธันวาคม 2561 นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีไอซีทีและแกนนำพรรคไทยรักไทย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เนื่องในวันนี้ครบรอบ 11 ปีการเลือกตั้งทั่วไป หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พร้อมกับเล่าถึงสาเหตุที่พรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคมัชฌิมาธิปไตยต้องพบกับความพ่ายแพ้ราบคาบในการเลือกตั้งครั้งนั้นว่า

พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่สุด (มี ส.ส.ก่อนรัฐประหารถึง 377 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่ง มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย) ถูกยุบพรรคไปเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ก่อนวันเลือกตั้งเพียงไม่ถึง 7 เดือน และกรรมการบริหารพรรค 111 คนถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
.
เวลานั้น ทุกคนต่างทำนายว่า การเมืองแบบพรรคไทยรักไทยจบสิ้นแล้ว การเมืองที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง “เปิดเกมใหม่” ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือ เล่น “เกมนโยบาย” ที่พรรคการเมืองอื่นทำไม่เป็น โดยไม่ยอมเล่น “เกมโวหาร” ที่พรรคการเมืองอื่นถนัดกว่า

หลังพรรคไทยรักไทยถูกยุบ เกิดการแตกฉานซ่านเซ็นของอดีต ส.ส.ไปคนละทิศทาง แต่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่รวมกลุ่ม แล้วช่วยกันรณรงค์ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 และถึงแม้แพ้ประชามติ แต่อานิสงส์จากการรณรงค์ครั้งนั้น นำไปสู่การเกิดขึ้นของพรรคพลังประชาชนเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งที่มาถึงในเดือนธันวาคม 2550 พรรคการเมืองเกิดใหม่ของอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่แตกทัพออกไปและดูน่าเกรงขามมีอยู่ 2 พรรค คือ พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคมัชฌิมาธิปไตย

พรรคเพื่อแผ่นดิน มีคุณสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นหัวหน้าพรรค แกนนำสำคัญมาจากกลุ่มวังพญานาคของ คุณพินิจ จารุสมบัติ และคุณปรีชา เลาหพงศ์ชนะ, กลุ่มบ้านริมน้ำของ คุณสุชาติ ตันเจริญ และกลุ่มอัศวเหมพรรคมัชฌิมาธิปไตย มีคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค แกนนำสำคัญมาจากกลุ่มวังน้ำยม ของคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน และคุณอนุชา นาคาศัย ทั้ง 2 พรรคเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ มีอดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส.เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก มีการจัดทำยุทธศาสตร์และนโยบายพรรคอย่างเข้มข้น จากมันสมองของคนระดับ อดีตรัฐมนตรีและอดีตปลัดกระทรวง พรรคเพื่อแผ่นดินตั้งเป้า ส.ส.ประมาณ 70-80 ที่นั่ง ส่วนพรรคมัชฌิมาธิปไตยตั้งเป้าประมาณ 20-30 ที่นั่ง

ผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2550 ปรากฎว่า พรรคเพื่อแผ่นดินได้รับเลือกตั้งเพียง 24 ที่นั่ง และพรรคมัชฌิมาธิปไตยได้เพียง 7 ที่นั่ง น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ถึง 300%

ที่จริง แกนนำพรรคทั้งสองน่าจะรู้ล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้งแล้ว ผมพบแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดินคนหนึ่งก่อนการเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ เขาบอกผมว่า “เหนื่อยจริงๆ ชาวบ้านตัดสินใจไปแล้ว ไม่เคยเจอศึกเลือกตั้งที่หนักอย่างนี้มาก่อน” อะไรคือสาเหตุของการพ่ายแพ้อย่างยับเยินของ 2 พรรคในครั้งนั้น

ผมคิดว่า เกิดจากปัจจัยอย่างน้อย 4 ประการคือ
1. ความสำเร็จจากนโยบายของพรรคไทยรักไทยยังเป็นความจริงที่ประชาชนสัมผัสได้ทุกๆวัน เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน OTOP ฯลฯ

2. การทำตามนโยบายหาเสียงของพรรคไทยรักไทยทันทีที่จัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งในปี 2544 และปี 2548 ทำให้พรรคพลังประชาชนซึ่งต่อเนื่องมาจากพรรคไทยรักไทย ได้รับผลพวงความมั่นใจจากประชาชนติดมาด้วย ท่ามกลางการหาเสียงในปี 2550 ที่มีสารพัดนโยบายซึ่งทุกพรรคการเมืองสาดใส่ผู้เลือกตั้ง จนจำกันไม่ได้ว่า นโยบายนั้นๆเป็นของพรรคใด พรรคพลังประชาชนเพียงหาเสียงด้วยคำขวัญว่า “นโยบายดีๆใครก็พูดได้ แต่คนที่พูดแล้วทำได้จริง อยู่ในพรรคพลังประชาชน” และ “เลือกผิด…เพิ่มหนี้ให้ครอบครัว เลือกถูก…เพิ่มเงินในกระเป๋า” ก็ชนะเลือกตั้งไป 233 ที่นั่ง

3. พรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคมัชฌิมาธิปไตยเพิ่งจัดตั้งขึ้นเพียงไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้ง การบริหารจัดการพรรคแบบที่พรรคไทยรักไทยเคยทำไว้ไม่สามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

4. แกนนำของทั้งสองพรรคเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในพื้นที่เขตเลือกตั้ง แต่ไม่เคยมีบทบาทในการวางยุทธศาสตร์เลือกตั้งในภาพรวมของพรรคไทยรักไทยเลย หัวใจของการรณรงค์เลือกตั้ง ไม่ใช่เพียงแต่ “รุก” ในเขตเลือกตั้ง แต่ต้อง “รุก” เข้าไปในหัวใจประชาชนด้วย ศาสตร์ของการรณรงค์เลือกตั้งยุคใหม่ไม่มีพรรคใดสู้พรรคไทยรักไทยที่สั่งสมมากว่า 10 ปี และส่งผ่านมาถึงพรรคพลังประชาชนได้

ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มทรุดลงตอนปลายปี 2550 ก่อนเกิดภาวะราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในกลางปี 2551 ตลอดจนความรู้สึกของประชาชนต่อการรัฐประหาร 2549

“บทเรียนของพรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคมัชฌิมาธิปไตยน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ทิศทางการเลือกตั้งที่จะมาถึงในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ผมเชื่อมั่นว่า เป้าหมาย 150 ที่นั่ง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐตั้งไว้จะไม่บรรลุผล และผลลัพธ์จะตำ่กว่าเป้า ไม่ใช่ 300% แต่อาจทะลุไปถึง 400-500% ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ เสรีและเป็นธรรม ไม่มีการโกงเลือกตั้ง เพราะต้องเรียนตรงๆว่า สถานการณ์ที่พรรคพลังประชารัฐจะได้พบเจอ ใน 2 เดือนข้างหน้า หนักหนากว่าที่พรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคมัชฌิมาธิปไตยเผชิญมากมายเหลือคณานับ” นพ.สุรพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย