“เพื่อชาติ” อัด คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ไม่มีวางแผน รับมือฝุ่นควันล่าช้า

โฆษกพรรคเพื่อชาติ ชี้ให้เห็นว่าอำนาจเบ็ดเสร็จของเผด็จการไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรือการปฏิรูปประเทศ ถ้ากระบวนการแก้ปัญหาไม่คิดแบบองค์รวม อย่างกรณีสถานการณ์ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน พุ่งสูงขึ้นในกรุงเทพฯ เกินเกณฑ์มาตรฐาน ทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน

วันที่ 23 ธันวาคม 2561 นางสาวเกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวถึงสถานการณ์ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน พุ่งสูงขึ้นในกรุงเทพฯ เกินเกณฑ์มาตรฐาน ทำให้คุณภาพอากาศจะอยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพว่า ตนเองได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้โดยตรง เมื่อกลางดึกเวลา 3.00 น.คืนวันที่ 23 ธันวาคม 2561 ตนต้องพาคุณพ่อเข้าโรงพยาบาลจากอาการหอบหืด ที่หายใจทางปาก หายใจถี่ เนื่องจากแพ้ฝุ่นละอองดังกล่าว

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ได้ข้อสังเกตุว่า 4 ปีที่ผ่านมาการบริหารประเทศโดยใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไม่มีฝ่ายค้านของรัฐบาลเผด็จการ คสช. ที่อ้างว่าจะมาปฏิรูปประเทศ แต่ไม่ว่าจะชี้ไปที่ปัญหาประเด็นใดทั้งปัญหาด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไม่มีการวางแผนแก้ปัญหาแบบองค์รวมที่แก้ตั้งแต่ต้นตอของปัญหาที่เรียกว่าการปฏิรูปเลย อย่างปัญหาสถานการณ์ปริมาณฝุ่นละอองที่พุ่งสูงจนมีผลต่อสุขภาพของประชาชน ถ้ารัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นรัฐบาล คสช. และต้องการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง มิใช่ใช่การปฏิรูปแต่ปาก 4 ปีกว่าเวลาไม่ใช่น้อย ถ้าวางแผนแก้ปัญหาแบบองค์รวมก็จะไม่เกิดปัญหาให้ต้องมาแก้ไขเฉพาะหน้าเช่นนี้

ปัญหาสถานการณ์ปริมาณฝุ่นละอองที่มีปริมาณพุ่งสูงจนมีผลต่อสุขภาพของประชาชน ถ้าวางแผนตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้วโดยกำหนดเป็นกฏหมายว่าไม่ให้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 3 ซึ่งมีค่ากำมะถันสูง ก่อให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์วิ่งผ่านในบริเวณชุมชนที่อยู่อาศัยหนาแน่น ปัญหาปริมาณฝุ่นละอองก็จะไม่พุ่งสูงจนก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของประชาชน ทำให้งบประมาณประกันสุขภาพพุ่งสูงขึ้นตาม ซึ่งหัวหน้ารัฐบาลนี้ทวงบุญคุณประชาชนเสมอเมื่อมีการกล่าวถึงงบประมาณประกันสุขภาพ ว่าเป็นงบประมาณก้อนใหญ่ ต้องการตัดงบประมาณส่วนนี้ แต่กลับไม่รู้จักมองปัญหาภาพกว้างที่จะวางแผนแก้ไขปัญหาถึงต้นตอที่จะทำให้เกิดปัญหาการเสียงบประมาณด้านสุขภาพของประชาชน

“จะเห็นได้ว่า 4 ปีที่ผ่านมา ผลงานเด่นรัฐบาล คสช. ที่เห็นชัดคือกำจัดสิทธิเสรีภาพคนคิดต่างเพื่อรักษาอำนาจของเผด็จการ แต่ปัญหาอื่นๆ ที่อ้างว่าจะมาปฏิรูปแก้ไขปัญหาเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ มองจากมุมมองแคบไม่เคยมองภาพรวมถึงสาเหตุและต้นตอของปัญหา อย่างเช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อมกรณีฝุ่นละอองที่พุ่งสูงจนมีผลต่อสุขภาพของประชาชนเป็นต้น ดังนั้นบทเรียน 4 ปีของสังคมไทยได้พิสูจน์แล้วว่า อำนาจเบ็ดเสร็จของเผด็จการไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรือการปฏิรูปประเทศ ระบอบที่ยึดโยงกับประชาชนอย่างระบอบประชาธิปไตยคือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ถึงแม้จะช้าแต่ไม่นำประเทศถอยหลังแบบระบอบเผด็จการ ขอฝากประชาชนทุกท่านในการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่จะถึงนี้ เพื่ออนาคตลูกหลานของท่าน ให้เลือกพรรคที่สนับสนุนประชาธิปไตยที่ยึดโยงกับประชาชนเท่านั้น อย่าสนับสนุนพรรคที่มองทุกอย่างจากผลประโยชน์ของตนเองแล้วเลือกสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ”โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าว