แกนนำ “เพื่อชาติ” เผยทำไมต้อง “เกาะกลาง” แนะต้องใจแข็ง-ฝ่ายปชต.เข้าใจกติกา ลั่นชนะแน่

วันที่ 21 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา เมื่อเวลาประมาณ 12.40 น. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ พร้อมด้วย นายยงยุทธ ติยะไพรัช และนายจตุพร พรหมพันธุ์ กองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ได้กล่าวว่าถึงความเป็นมาของพรรคเพื่อชาติ พร้อมเสนอแนะว่า พรรคการเมืองรวมถึงประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยมีโอกาสชนะ ถ้าหากเข้าใจกติกาและทุ่มเทอย่างเต็มที่

นายสงครามกล่าวว่า ที่มาของพรรคเพื่อชาตินั้น แนวความคิดเริ่มต้น เกิดขึ้นจากคน 3-4 คนที่ได้คุยกัน ที่รู้กันว่า หลังเลือกตั้ง การบริหารบ้านเมืองคงไม่ราบรื่น มีอุปสรรค และจากการที่คุณจตุพร เข้าไปอยู่ในเรือนจำได้พบกับ คุณสนธิ และพระพุทธอิสระ

“ตอนที่ออกมา คุณยงยุทธ ได้ถามคุณจตุพรว่ามีทะเลาะกันไหม เพราะข้างนอกรุนแรง แต่นายจตุพรกลับตอบว่า คุยกันรู้เรื่องและเข้าใจปัญหา ไม่มีเรื่องส่วนตัวให้โกรธเคืองกัน” นายสงคราม กล่าว

นายสงครามกล่าวอีกว่า เราจึงมีความเห็นว่า ถ้าเป็นอยู่อย่างอย่างตอนนี้ บ้านเกิดก้าวต่อไปไม่ได้ เราเลยจึงตั้งพรรคการเมืองที่เหมือนเป็นเกาะกลาง แม้จะมีความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน แต่ทุกคนก็ห่วงบ้านเมือง ฉะนั้นเราน่าจะคุยกันได้ ทุกฝ่ายในความเห็นที่จะทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ และไม่ใช่ร่วมรัฐบาล แต่เรามีแนวคิดว่า มีอะไรก็คุยกันเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองแทนที่จะทะเลาะกัน

“ความสำคัญอีกอย่าง ตอนที่ผมรับเป็นหัวหน้าพรรค ที่จริิงมีหลายคนที่เหมาะสม แต่ทุกคนเลือกผมเพราะเป็นคนที่เข้าหาคนง่าย ด้วยความเป็นนักธุรกิจ ไม่แข็งกร้าว” นายสงคราม กล่าว

เมื่อถามว่าพรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตยจะมีโอกาสชนะหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า กลไกในรัฐธรรมนูญที่คุณมีชัยเขียนขึ้น ถ้าเข้าใจจะไม่ใช่เรื่องยาก โดยยกกรณีเวที กปปส. ที่มีคนร่วมเคลื่อนไหวและแบ่งออกไปหลายพรรค ตอนที่ผมอยู่ในเรือนจำตอนแรกก็ไม่เข้าใจ แต่พออ่านและวิธีคิด ก็รู้ว่า “รวมกันแพ้ แยกกันชนะ” เพราะฉะนั้น เราคิดในมิตินี้ไม่ยากในการได้คะแนน ตอนแรกเพื่อไทยคิดไม่ทัน เข้าใจได้ว่าจะได้บัญชีรายชื่อ ซึ่งคำนวณผิดตลอด แต่พอมีผู้รู้ช่ำชอง คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ปี 54 พอหารไปในระบบใหม่ ปาร์ตี้ลิสต์จะไม่ได้ซักคน ทำให้ตอนที่มีแนวคิดเรื่องพรรคเพื่อชาติ เราจึงต้องคิดกันใหม่ แต่ถึงกระนั้นต่อให้คิดสูตรไหน ถ้าประชาชนไม่เปลี่ยน คะแนนก็ไม่แปรเปลี่ยนได้

“ผมชอบเปรียบเปรยว่า เพื่อชาติเหมือนประมงชายฝั่ง เพื่อไทยเหมือนประมงใหญ่ แต่ว่าพรรคเพื่อชาติก็จะตกเอาคะแนน และที่สำคัญ ระบบบัตรใบเดียว ตัวบุคคลก็มีความสำคัญ ฉะนั้นผมเองเห็นว่า ในซีกรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา ถ้าซีกประชาธิปไตยล็อคได้ 250 ที่นั่ง ส.ว.250 ก็ทำอะไรไม่ได้ การที่จะได้มา แม้มีความกังวล โดยเฉพาะเพื่อไทยจะมีอาการหนักกว่าประชาธิปัตย์ เพราะอีกซีกไม่วิตก ถ้าใจแข็งและเดินต่อไป ปลายทางจะไม่แตกต่าง ถ้าเล่นไม่เป็นก็พ่ายแพ้ หลักคิดการจัดตั้งรัฐบาล เอานายกฯคนนอก คงมีใครไปประกบหัวหน้าพรรค แต่ครั้งนี้ หัวหน้าพรรคต้องไปแสดงตนที่รัฐสภา ผมเองเห็นว่าถ้าเราใจแข็งและเดินหน้าต่อโดยไม่กังวล เราก็ชนะ แต่ถ้าเดินแบบกังวลก็จะแพ้ ถ้าเพื่อชาติ อนาคตใหม่ เพื่อไทย เดินเต็มที่ ปลายทางก็รวมเข้ากันอยู่ดี แต่ถ้าแบ่งกันตอนนี้ก็จะแพ้” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพรยังกล่าวอีกว่า ส่วนประชาชนนั้น ผมดูแววตาพวกเขา พวกเขามีความเข้าใจ ส่วนการพยายามอธิบายว่า ชวนผู้คนคุยกัน ไม่ได้แปลว่าเป็นเผด็จการ แต่เป็นการไม่สร้างเงื่อนไขใหม่เข้ามา อะไรที่คุยกันได้ก่อนสำแดงตน ก็จบ แต่ถ้าสังคมไม่ยอมก็จะเดินไปในทิศทางสู่ความวุ่นวาย แต่ในความจริง เราไม่ได้เดินไปเช่นนั้นเสมอ เชื่อว่าหลังจากสมัครแล้วจะมีความชัดเจน ขอเพียงสู้ชนะในเขต รัฐธรรมนูญเก่า เขียนให้ต้องชนะคือชนะ แต่รัฐธรรมนูญใหม่ แพ้แต่ชนะ

ขณะที่ถามถึงท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะลาออกหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า สมมติว่าประยุทธ์ไม่ลาออก(ทั้งตำแหน่งหัวหน้า คสช.และนายกฯ) และอยู่ในบัญชีพลังประชารัฐ คะแนนจะเกิน 20 ล้านไปโดยปริยาย ถ้าแอบลาออกจะมีประโยชน์มากกว่า แต่ถ้าลาออกช่วงปลายรัฐบาลมันเป็นเรื่องตอนปลายของการมีอำนาจ และกลไกรัฐพร้อมจะแสวงหาอำนาจใหม่ พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องแสดงตัวงานยังทำงานต่อ ต้องแสดงตัวไม่งั้นกลไกรัฐจะเปลี่ยนข้าง มันมีเส้นกั้นบางๆ ระหว่างได้เปรียบกับเอาเปรียบ ทุกเรื่องที่มีการขยับที่หนุนฝ่ายรัฐ ก็จะมีความเพลี้ยงพล้ำ กรณีจัดโต๊ะจีนก็เป็นปัญหา โชว์เงินแล้วมีปัญหา ในมุมการเมือง คิดข้างเดียวแต่ผลลัพธ์ออกมาตรงกันข้าม ผมไม่รู้ใครคิดให้พล.อ.ประยุทธ์ อะไรที่คนไทยไม่เอา จะยกเลิกหรือขอโทษทันที ผมเชื่อว่าอารมณ์แบบนี้ ฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ปรับกลยุทธ์ตลอด มีแต่ฝ่ายเราที่ปรับตัวช้าไป

“เราไปเรียกร้องให้ประยุทธ์ลาออก เราจะไม่มีทางได้ยิน แต่ผมเข้าใจทางแก เรียกร้องให้ลาออก เรียกร้องทุกฝ่าย ประยุทธ์ไม่มีคำตอบ แต่ผมเชื่อว่า วันที่ 8 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรีไม่มีสิทธิ์สมัครส.ส.แต่ทันทีที่อยู่ในบัญชีแคนติเดตนายกฯ ผมเชื่อว่าแรงกดดันจะตกอยู่กับประยุทธ์ ผมเชื่อว่าประยุทธ์ต้องตัดสินใจ ถ้าอยากเป็นนายกฯต่อ ต้องลาออก” นายจตุพร กล่าว

เมื่อถามความเห็นของประชาชนต่อความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐที่มุ่งเจาะภาคอีสานเป็นพิเศษ โดยมีนักการเมืองเก่าที่ย้ายเข้าร่วมและครองฐานเสียง นายจตุพรกล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐจะมีสถานะเหมือนพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งปี 2554 แม้พรรคนี้(พปชร.)จะมีเงินมาก ไม่มีใครสู้ได้ อาจเยอะมากกว่าที่ปรากฎเป็นข่าว กลไกทุกอย่างเอื้อหมด แต่สภาพการณ์ของพรรคภูมิใจไทยในภาคอีสานตอนนั้น ทุ่มไปเท่าไหร่ ผลลัพธ์กลับเป็นคนละเรื่อง เพราะฉะนั้น พปชร.ก็ทำหน้าที่แทนภูมิใจไทยในปี 2554 มีพร้อมทุกอย่าง ขาดอย่างเดียว คนไม่เอา คนเดือดร้อนจริง ช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา คนเข็ดหลาบแล้ว แม้กระทั่งพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งปกติเป็นพื้นที่ที่ยากลำบาก แต่พวกเราไปกันบ่อย พวกเขาก็เข็ดเพราะลำบากจริงๆ ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นกลับมาได้อย่างไร พรรคภูมิใจไทยในปี 2554 เป็นอย่างไร พรรคพลังประชารัฐในปี 2562 ก็เป็นเช่นนั้น