“พิชัย” หวั่น กนง.ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ซ้ำเติมศก.ตกต่ำ ปชช.ยิ่งลำบาก

วันที่ 20 ธันวาคม 2561 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน ประธาน คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75% ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยยังย่ำแย่ การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะให้ประชาชนมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า สภาพคล่องในระบบธนาคารยังมีอยู่มาก อีกทั้ง ไม่ปรากฏการไหลออกของเงินตราต่างประเทศ โดยเงินทุนสำรองของไทยก็ยังมีอยู่ในระดับที่สูงมากถึงประมาณ 2 แสนล้านเหรียญ และ อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ยิ่งราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ลดลงมาอย่างมากและมีแนวโน้มจะอยู่ในระดับราคาที่ต่ำเป็นระยะเวลานาน เงินเฟ้อจึงไม่น่าจะเป็นปัญหา จึงไม่มีเหตุผลอันควรที่จะต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

“ทั้งนี้ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ และต่ำที่สุดในอาเซียนมาตลอด 4 ปีนี้ อีกทั้ง รายได้ของประเทศที่เพิ่มขึ้นยังไปกระจุกกับคนบางกลุ่มเท่านั้น คนส่วนใหญ่ยังลำบากกันอย่างมาก การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยิ่งลำบากจากหนี้ภาคครัวเรือนของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้เงินบาทแข็งค่าทันที และ มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกในภาวะสงครามการค้านี้” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวอีกว่า โดยอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับวิธีคิดและวิธีการทำงานให้เข้ากับสภาวะการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป โดยเพิ่มพลวัต โดยอยากให้ดูตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่มีระบบการจัดการของธนาคารกลางที่ปรับเปลี่ยนรวดเร็วทันสถานการณ์ของโลกทำให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ก้าวกระโดด และ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ ถึงขนาดที่อดีตผู้ว่าการธนาคากลางของประเทศสิงคโปร์จะขึ้นมาเป็นทายาททางการเมืองสืบต่อจากนายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนปัจจุบันโดยอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยึดอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม เป็นเป้าหมายหลักทางนโยบายการเงิน มากกว่าจะใช้อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวกำหนดเหมือนในอดีต โดยเชื่อว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าจะช่วยให้ประเทศไทยได้ประโยชน์และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ โดยประเทศที่มีค่าเงินที่อ่อนจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น เช่น ประเทศญี่ปุ่นในอดีตสมัยที่ค่าเงินเยนอ่อน หรือ ประเทศจีนที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่ากว่าความเป็นจริง เป็นต้น