สรุปข่าวต่างประเทศ : ความสำเร็จปลูกถ่ายมดลูกจากผู้บริจาคหญิงที่เสียชีวิตไปแล้ว / สงครามการค้าที่ไม่จบ / ระงับแผนการขึ้นภาษีน้ำมันฝรั่งเศส

ฝรั่งเศส

ปารีส – สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเอดัวร์ ฟีลิปป์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ประกาศระงับแผนการขึ้นภาษีน้ำมันที่เดิมมีกำหนดจะปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีหน้า โดยให้ชะลอออกไปอีก 6 เดือน ในความพยายามที่จะดับความรุนแรงจากการประท้วงของกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองที่ออกมาชุมนุมต่อต้านแผนการปรับขึ้นภาษีน้ำมันดังกล่าวของรัฐบาลประธานาธิบดีเอ็มมานูแอล มาครง ของฝรั่งเศส ซึ่งดำเนินยืดเยื้อมานานถึง 3 สัปดาห์แล้ว และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะกันรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลแล้ว 3 ราย นอกเหนือจากทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และมีผู้ประท้วงถูกจับกุมตัวไปอีกหลายร้อยคน

ข่าวแจ้งว่า เมื่อต้นสัปดาห์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสพยายามหาทางประนีประนอมกับกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลือง แต่จำเป็นต้องเลื่อนการเจรจาระหว่างกันออกไปเนื่องจากกลุ่มผู้ประท้วงอ้างว่าได้รับคำขู่ฆ่าจากพวกหัวรุนแรงสุดโต่งที่ไม่ยอมให้มีการเจรจา ทั้งนี้ การประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองถูกจุดชนวนขึ้นจากความไม่พอใจต่อแผนการปรับขึ้นภาษีน้ำมันของนายมาครงที่ให้เหตุผลเรื่องการปกป้องสิ่งแวดล้อม ก่อนที่ความไม่พอใจของชาวฝรั่งเศสจะขยายผลไปถึงปัญหาค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นและนโยบายด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ของรัฐบาลนายมาครง

สหรัฐอเมริกา

วอชิงตัน – สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้จีนแสดงให้เห็นการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมภายใน 90 วัน เพื่อความน่าเชื่อถือในการที่จะสร้างข้อตกลงทางการค้าที่แท้จริงระหว่างกันขึ้น ท่าทีดังกล่าวเป็นผลหลังจากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีน สามารถบรรลุความเห็นพ้องร่วมกันได้ในการพบปะกันในเวทีการประชุมผู้นำกลุ่มจี 20 ที่ประเทศอาร์เจนตินา ที่จะสงบศึกสงครามการค้าระหว่างกันของสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งนี้ซึ่งสร้างบรรยากาศตึงเครียดไปทั่วโลกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

โดยหนึ่งในการบรรลุความตกลงร่วมกันดังกล่าวระบุว่าสหรัฐจะระงับแผนการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่มีมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 1 มกราคม 2019 นี้เอาไว้ก่อนชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้มีการหารือทำความตกลงทางการค้าระหว่างกันภายในเวลา 90 วัน แต่หากพ้นระยะเวลา 90 วันไปแล้ว จีนยังไม่ทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ ซึ่งรวมไปถึงข้อเรียกร้องให้จีนยุติการตั้งกำแพงการค้า และต้องมีมาตรการจัดการกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและมาตรการอื่นๆ ที่สหรัฐระบุว่าเป็นการช่วยให้การแข่งขันทางการค้าเป็นธรรมมากขึ้นแล้ว ฝ่ายสหรัฐก็จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนดังกล่าวเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ในทันที ด้านจีนตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตร พลังงาน อุตสาหกรรมและสินค้าอื่นๆ จากสหรัฐเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยลดการขาดดุลการค้าจีนของสหรัฐ ก่อนที่ในอีกวันถัดมาทรัมป์ออกมาทวีตข้อมูลเพิ่มเติมว่าฝ่ายจีนยังตกลงที่จะลดและยกเลิกกำแพงภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐเข้ามาในตลาดจีนลงด้วย จากที่ปัจจุบันจีนเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐอยู่ที่ 40 เปอร์เซ็นต์

บราซิล

เซาเปาโล – สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โรงพยาบาลดาส กลินิกาสแห่งโรงเรียนการแพทย์ มหาวิทยาลัยเซาเปาโล ในประเทศบราซิล ออกมาเปิดเผยถึงความสำเร็จของการให้กำเนิดทารกเพศหญิงของแม่ชาวบราซิลที่ได้รับการปลูกถ่ายมดลูกจากผู้บริจาคหญิงที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยทารกเพศหญิงรายนี้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ด้วยน้ำหนักตัวแรกเกิด 6 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม ซึ่งออกมาลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ปี 2017 แต่ทางโรงพยาบาลเพิ่งออกมาเปิดเผยถึงความสำเร็จครั้งนี้ในวันดังกล่าวที่ถือเป็นทารกรายแรกของโลกที่เกิดจากการใช้มดลูกของผู้บริจาคที่เสียชีวิตไปแล้ว

ข่าวแจ้งว่า แม่ชาวบราซิลวัย 32 ปี ผู้ให้กำเนิดทารกเพศหญิงรายนี้ เป็นผู้ป่วยโรคในกลุ่มอาการ “เมเยอร์-รอคิแทนสกี-คุสต์เนอร์-เฮาเซอร์” หรือเอ็มอาร์เคเอช ซึ่งเป็นความผิดปกติแต่กำเนิด ทำให้ไม่มีการเจริญของมดลูก อย่างไรก็ดี ในกรณีแม่ชาวบราซิลรายนี้ แพทย์พบว่ารังไข่ยังปกติ แพทย์จึงทำการนำไข่ออกมาแล้วนำไปปฏิสนธิกับอสุจิของผู้เป็นพ่อและนำไข่ไปแช่แข็งไว้ ก่อนแพทย์จะให้ยาเพื่อปรับระบบภูมิคุ้มกันของแม่ชาวบราซิลรายนี้ให้อ่อนแอลงเพื่อจะได้ไม่ไปทำลายหรือปฏิเสธอวัยวะปลูกถ่าย ซึ่ง 6 สัปดาห์ต่อมา แม่ชาวบราซิลเริ่มมีประจำเดือน หลังจากนั้น 7 เดือนต่อมา แพทย์จึงนำไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วและแช่แข็งเอาไว้มาฝังในมดลูก จนกระทั่งแม่ชาวบราซิลให้กำเนิดทารกเพศหญิงรายนี้ในที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีกรณีของการปลูกถ่ายมดลูกที่ได้รับจากผู้บริจาคที่มีชีวิตจำนวนทั้งสิ้น 39 ราย ในจำนวนนี้สามารถให้กำเนิดทารกได้ 11 ราย ขณะที่การปลูกถ่ายมดลูกที่ได้จากผู้บริจาคที่เสียชีวิตแล้วจำนวน 10 กรณี ทั้งหมดล้มเหลว หรือไม่ก็เกิดภาวะแท้งไป