แกนนำ นปช.พบอสส. จี้ตอบข่าวลือ ทหารยศใหญ่ สั่งยุติสอบสวนคดีสลายชุมนุม 99 ศพ

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 เมื่อเวลา 14.20 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการเเจ้งวัฒนะ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ , นพ.เหวง โตจิราการ นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายนิสิต สินธุไพร เเกนนำ นปช.พร้อมด้วย นายโชคชัย อ่างเเก้ว ทนายความเเละญาติผู้เสียชีวิตเนื่องในเหตุการณ์การชุมนุมนปช. เดือนเมษายนปี 2553 จำนวนหลายสิบคนได้เเต่งชุดดำพร้อมถือรูปผู้เสียชีวิตเเละป้ายข้อความ “99 ศพต้องไม่ตายฟรี” เข้าร้องเรียนสอบถามด้วยวาจาต่ออัยการสูงสุด

ถึงกรณีที่มีสื่อมวลชนสำนักหนึ่งเขียนบทความเมื่อหลายเดือนที่เเล้วระบุชัดว่า มีนายทหารชั้นยศนายพลคนหนึ่งเดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพูดคุยกับอัยการสูงสุดขอให้สั่งยุติสำนวน โดยทำเป็น สำนวนมุมดำ ในคดีคนเจ็บคนตายจากเหตุสลายการชุมนุมกลุ่มนปช.เมื่อปี 2553 ขอให้อ้างว่าเป็นสำนวนมุมดำ หาผู้กระทำความผิดไม่ได้ โดยมีนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษก สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้รับฟังข้อร้องเรียนด้วยวาจา

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ซึ่งตอนนั้นตนได้ทราบเรื่องดังกล่าวจึงทำหนังสือเปิดผนึกถึงอัยการสูงสุดสอบถามเรื่องนี้ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดว่าเรื่องนี้มีจริงหรือไม่ เเละถามความคืบหน้าคดีโดยตัวแทนสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งว่าจะมีหนังสือตอบกลับมานั้น แต่จนถึงขณะนี้นอกจากไม่มีคำตอบกลับมาแล้ว

ต่อมาล่าสุดคอลัมน์ในสื่อสำนักเดิม ยังปรากฏบทความจากสื่อมวลชนมีการระบุเลขคดีในคดีสำนวนคดีพิเศษที่ 86/61 89/61 92/61 94/61 99/61 ซึ่งเป็นสำนวนคดีที่เกี่ยวกับคนบาดเจ็บชัดเจน ถูกสั่งให้เป็นสำนวนมุมดำไปเเล้ว เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนคดีที่มีคนตายก็กำลังจะถูกทำให้เป็นสำนวนมุมดำคือการยุติคดีในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือนตนจึงมาทวงถามด้วยวาจาโดยไม่ต้องมีหนังสือ

เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนได้เคยยื่นหนังสือไปเป็นจำนวนหลายครั้ง เเต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่าเรื่องคนเจ็บเป็นสำนวนมุมดำไปเเล้วเเละเรื่องสำนวนคนตายกำลังจะกลายเป็นสำนวนมุมดำตามที่สื่อมวลชนเขียนบทความหรือไม่ ทั้งที่สำนวนคนตายศาลมีคำสั่งในสำนวนชันสูตรพลิกศพเป็นสิบๆสำนวนว่าเสียชีวิตจากอาวุธของฝั่งเจ้าหน้าที่ ส่วนอีก 70 รายยังไม่มีการไต่สวนสาเหตุการตาย

นายประยุทธ กล่าวว่า ขณะนี้ทางผู้บริหารของสำนักงานอัยการสูงสุดได้รับทราบเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าวเเล้วจากทางสื่อมวลชน เเม้วันนี้จะไม่มีหนังสือมายื่น เเต่จากการได้รับฟังเรื่องราวจากนายณัฐวุฒิ ทำให้พอทราบจุดประสงค์ ซึ่งเบื้องต้นตนได้สอบถามไปยังสำนักงานอัยการคดีพิเศษพบว่าสำนวนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดี 6 ศพวัดปทุมวรารามยังไม่มีการส่งมายังสำนักงานอัยการเเต่อย่างใด

ส่วนสำนวนที่มีผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ปี 53 นั้นมีส่งเข้ามาเเล้วบางส่วน ซึ่งกระจายอยู่หลายกองขณะนี้ทางสำนักงานคดีพิเศษกำลังรวบรวมข้อมูลว่าเเต่ละคดีอยู่ในขั้นตอนไหนมีคำสั่งคดีไหนไปเเล้วหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง

สำนวนมุมดำคืออะไร?

นายประยุทธ อธิบายข้อกฎหมายเรื่อง สำนวนมุมดำ ที่มีการกล่าวอ้างว่าสำนวนมุมดำเป็นคดีที่พนักงานสอบสวนไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด เเล้วจึงส่งมาขอให้พนักงานอัยการเห็นชอบเเละมีคำสั่งให้งดการสอบสวนไว้ชั่วคราว จึงยังไม่ได้มีการเเตะลงไปในเนื้อหาคดีว่ามีใครผิดถูกอย่างไร

ซึ่งภายในอายุความคดีนี้ 20 ปี คดีจะสามารถหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้ ส่วนข้อทุกข์ใจของญาติผู้เสียชีวิตในวันนี้ตนจะนำเสนอให้ นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุดได้รับทราบภายในวันนี้

โดยภายหลังได้รับคำตอบ นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้ ตนจะขอให้ทางอัยการสูงสุดได้ทำหนังสือชี้เเจงออกมาให้ได้ทุกคำถามจากที่สื่อมวลชนระบุมาเเละที่ตนได้ตั้งคำถามไป ซึ่งวันนี้ตนก็ได้รับทราบข้อมูลใหม่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เวลาผ่านมาหลายปีทำไมสำนวนชันสูตรพลิกศพยังมาไม่ถึงมืออัยการ เเละหากยังไม่ถึงมือสำนวนมันอยู่ที่ไหนกัน

หากอยู่ที่พนักงานสอบสวนซึ่งตรงนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเป็นผู้มีอำนาจ เเละสถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับสำนักงานอัยการสูงสุดขนาดนี้ ขนาดให้นำสำนวนใส่หลังเต่าเดินยังน่าจะเร็วกว่านี้ เเต่นี่ผ่านมา หลายปีทำไมยังมาไม่ถึง

นายประยุทธ กล่าวว่า ตนสามารถตอบคำถามได้เพียงในส่วนของอัยการไม่สามารถที่จะไปก้าวล่วงองค์กรอื่นได้ เเต่เรื่องการทำสำนวนนั้นย่อมที่จะมีหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ อย่างน้อยก็มีดีเอสไอที่เป็นผู้ทำสำนวนเเต่เเรก ซึ่งมันก็จะมีสิธีการในการสืบค้นว่าอยู่ขั้นตอนไหน ส่วนที่ถามว่าสำนวนหายไปหรือยัง อัยการไปตอบเเทนหน่วยงานอื่นไม่ได้

เอาผิดเจ้าหน้าที่ดองคดี 99 ศพ ได้หรือไม่?

นายณัฐวุฒิ ถามต่อว่า ในทางกฎหมาย เมื่อศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายเเล้ว เเต่พนักงานสอบสวนยังไม่ส่งมาผ่านไป 5-6 ปีเเล้ว ในฐานะผู้เสียหายมีช่องทางดำเนินคดีเจ้าหน้าที่หรือไม่

นายประยุทธ กล่าวตอบว่า ข้อมูลที่ถามมานั้น ตนไม่มีข้อเท็จจริงอยู่ในมือ การที่จะพูดหรือชี้เเนะอะไรออกไปย่อมเป็นการคาดเดา ซึ่งตนไม่อาจที่จะไปก้าวล่วงได้ ตอนนี้เราทราบเเต่เพียงว่าได้ตรวจสอบไปยังอัยการสำนักงานคดีพิเศษเเเล้ว เเละมีการเเจ้งว่ายังไม่มีสำนวนเข้ามายังอัยการ

นายณัฐวุฒิ ถามว่า เมื่อยังไม่มีการส่งสำนวนมายังอัยการ เเปลว่าสำนวนยังไม่เป็นสำนวนมุมดำตามข่าวใช่หรือไม่

นายประยุทธ จึงตอบไปว่า ถ้าเรายังไม่เห็นสำนวนเรายังไม่ทราบ เเต่การจะสั่งว่าเป็นสำนวนมุมดำเป็นอำนาจของพนักงานอัยการ ฉะนั้นต้องมีการส่งมาให้อัยการพิจารณาก่อน เเต่ตามประมวลกฎหมายพิธีพิจารณาความอาญาสำนวนที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดซึ่งก็คือไม่มีตัวหรือที่เรียกว่ามุมดำจะถูกตั้งต้นมาตั้งเเต่ชั้นพนักงานสอบสวนเเล้ว ก็จะถูกส่งมาให้พนักงานอัยการเห็นชอบ

หากมีการเห็นชอบไปให้งดการสอบสวน เเต่หากมีพยานหลักฐานเพิ่มก็สามารถหยิบยกขึ้นมาได้ภายในอายุความ ดังนั้น การที่ถามว่าต้องมาถึงอัยการเเล้วจะเป็นสำนวนมุมดำใช่หรือไม่นั้น จึงขอตอบว่าไม่ใช่คำว่ามุมดำคือการตั้งรูปคดีตั้งเเต่ชั้นสอบสวนเเล้วว่าไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด

ดีเอสไอ ทำอะไรอยู่?

หลังการพูดคุย นายณัฐวุฒิ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ข้อสันนิษฐานของตนซึ่งต้องตรงกับข้อเท็จจริงแน่ๆ คือสำนวนคดีนี้ยังค้างอยู่ที่ดีเอสไอ ตนจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ถามอธิบดีดีเอสไอคนปัจจุบันว่า ตกลงสำนวนคดีผู้เสียชีวิตซึ่งศาลได้ไต่สวนสาเหตุการตาย และชี้แล้วว่าตายเพราะอาวุธจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ ตอนนี้อยู่ที่ไหน ขอให้อธิบดีดีเอสไอได้สำรวจลิ้นชักทุกลิ้นชักในดีเอสไอ แล้วกรุณาให้ความกระจ่างแก่ประชาชน

อธิบดีดีเอสไอคนนี้ไปขึ้นศาลเป็นพยานโจทก์ในคดีก่อการร้ายที่พวกตนเป็นจำเลย ตนก็เคารพในการทำหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือกับการขึ้นศาลชี้ว่าพวกตนเป็นจำเลยทำผิด ส่วนคดีผู้เสียชีวิตยังค้างอยู่ที่ดีเอสไอ ใช้เวลาถึง 5-6 ปีแล้ว ขอเรียกร้องให้ดีเอสไอเดินหน้าเรื่องนี้โดยทันที และถ้าเพิกเฉย ตนจะต้องไปติดตามสอบถามดีเอสไออีกครั้ง

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ได้รับคำตอบจากดีเอสไอว่าสำนวนคดีนี้ไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าตอบแบบนั้นก็แสดงว่าสำนวนคดีนี้หายไป สาบสูญไปจากวงจรของโลก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีคนรับผิดชอบ มันต้องมีคนถือเรื่องไว้ แล้ว 5-6 ปีผ่านไป ต้องพูดให้ชัดด้วยซ้ำไปว่ามีคนดองเรื่องไว้หรือไม่ ผมว่าเรื่องนี้ดีเอสไอต้องมีคำอธิบาย” นายณัฐวุฒิ กล่าว

เขาวงกต 8 ปี สลายชุมนุม 53 เจ็บปวดกว่าเดือนตุลา

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าภายในสัปดาห์หน้า ดีเอสไอควรจะมีความชัดเจน นี่ไม่ใช่การคาดคั้นหรือกดดัน แต่เป็นการเรียกร้องจากประชาชนในฐานะผู้เสียหาย สัปดาห์หน้าถ้ายังไม่มีคำตอบก็ถือว่าช้าเกินไป เพราะเรื่องผ่านไปแล้ว 5-6 ปี ที่พวกตนมาวันนี้พร้อมทนายความและญาติผู้เสียชีวิต ไม่ได้มาทำลายความสงบสุขของบ้านเมือง ไม่ได้เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการเลือกตั้งหรือการเดินหน้าสู่ความปรองดอง

พวกตนพร้อมให้ความร่วมมือทั้งสองกรณี แต่เพราะว่าคดีนี้ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบันใช้เวลากว่า 8 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่ข่าวร้ายสำหรับผู้สูญเสีย ทั้ง ป.ป.ช. ยกคำร้อง อัยการทำให้เป็นสำนวนมุมดำ วันนี้ก็ทราบอีกว่าคดีคนตายมีคนถือไว้ไม่ยอมส่งมาถึงมืออัยการ เลยมาติดตามทวงถามและต้องทวงถามต่อไป

ในอดีตคดีที่มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ทางการเมือง แล้วฝ่ายผู้มีอำนาจใช้กำลังปราบปราม 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภา 35 ฝ่ายผู้มีอำนาจออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง แต่คดีปี 2553 แม้ไม่มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเจ็บปวดยิ่งกว่า เพราะในกระบวนการยุติธรรมปกติธรรมดา กลับหาช่องทางที่จะเข้าถึงความยุติธรรมไม่ได้

คดีนี้ทำให้รู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับคดี เป็นเหมือนเขาวงกต ที่เดินมาแล้ว 8 ปี ก็ไม่ไปถึงไหน ผู้มีอำนาจถ้าใครไปกดทับไม่ให้คดีนี้เดินหน้า ขอความกรุณาถอยออกเถอะ ให้คดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถึงที่สุดให้ศาลพิพากษา ใครผิดใครถูกเมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดพวกตนก็น้อมรับ

ด้านนางธิดา กล่าวว่า การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ความจริงต้องปรากฏ ไม่ใช่เอาความจริงซุกใต้พรม คนตายเป็นร้อยคนเจ็บสองพัน ถ้าความจริงไม่ปรากฏท่านจะปกครองประเทศต่อไปอย่างไร อำนาจที่ไม่ชอบธรรมไม่สามารถปิดปากบังคับประชาชนได้ การเมืองจะก้าวต่อไปสู่การเลือกตั้ง ผู้นำอยากจะเป็นนายกฯ ต่อไปไม่ได้ ถ้าความปรองดองไม่เกิด เรื่องอย่างนี้ยังถูกปกปิด

การที่เรามาวันนี้เป็นการให้ความร่วมมือเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ความยุติธรรมต้องมี ถ้าหยุดตรงนี้ไปไม่ถึงศาล ประเทศนี้จะไม่สามารถสู้หน้าใครในโลกนี้ได้ และไม่มีใครปกครองประเทศในบรรยากาศอย่างนี้ได้