อดีตแกนนำไทยรักไทย กลับคืนสนามอีกครั้งล้างคราบ “ไทยรักไทย” ใส่เสื้อ “พรรคพลังประชารัฐ” (พปชร.) ใต้เงา-เงื้อมทหาร

พปชร.เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน สะสม 12+4 อดีต รมต. ตีทุกเขต

อดีตแกนนำไทยรักไทย ที่เคยชนะเลือกตั้งดับเบิลแชมป์ กลับคืนสนามอีกครั้งล้างคราบ “ไทยรักไทย” ใส่เสื้อ “พรรคพลังประชารัฐ” (พปชร.) ใต้เงา-เงื้อมทหาร

ทั้ง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน” และ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อดีต…รัฐมนตรี อดีต ส.ส.ทั้งสอบได้-สอบตก ยกทีมขึ้นเวทีกว่า 100 ชีวิต

เต็มไปด้วยมือตัวช่วยทุกรูปแบบ ทั้งมือที่มองไม่เห็น-มือสีเทาและมือสีขาวบริสุทธิ์ทางการเมือง

ทำให้ “สุริยะ” ปราศรัยอย่างมั่นใจปักธง พปชร.ได้ไม่น้อยกว่า 150 ที่นั่ง

60 กว่าชีวิตที่สมศักดิ์-สุริยะขนขึ้นรถบัสมีดีกรีเป็นถึงอดีต ส.ส.-รัฐมนตรีร่วมสมัยกว่า 12 คน ได้แก่ 1.สุริยะ อดีต รมว.อุตสาหกรรม ในรัฐบาลทักษิณ 2.สมศักดิ์ อดีตรองนายฯ ในรัฐบาลทักษิณ 3.สุพล ฟองงาม อดีต รมช.มหาดไทย ในรัฐบาลสมัคร 4.ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลยิงลักษณ์ 5.สันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์  6.นายภิญโญ นิโรจน์ อดีต รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

7.นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ อดีต รมช. สาธารณสุข สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ 8.นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีต รมช. ศึกษาธิการ สมัยรัฐบาลทักษิณ 9. วิรัตน์ รัตนเศรษฐ อดีต รมช.เกษตร ฯ รัฐบาลชวน 10.นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล อดีต รมช.พาณิชย์ สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต 11.ภิญโญ นิโรจน์ อดีต รมต.ประจำสำนักนายก ฯ สมัยรัฐบาลชวน และ 12.บุญจง วงษ์ไตรรัตน์ อดีต รมช.มหาดไทย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์

เป็นการปราศรัยในรอบ 12 ปีของ “สุริยะ” อดีตเลขาธิการพรรคขุนพลคู่ใจ “ทักษิณ”

“ตอนเปิดพรรคไทยรักไทยว่ายิ่งใหญ่แล้ว วันนี้ยิ่งใหญ่กว่า” 

“สุริยะ” ไม่ปฏิเสธ-แต่ไม่เปิดชื่อ ว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังทำหน้าที่ “นินจา” ตัวจริง คือ “อาจารย์ที่ผมรู้จักตั้งแต่สมัยไทยรักไทย” 

“อาจารย์” ของนักการเมืองรุ่นใหญ่ บอกไว้ตั้งแต่ 8 เดือนที่แล้วว่า “ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าไม่มีพรรคทางเลือกใหม่ จะได้พรรค 2 ขั้วเดิม เกิดวิกฤตการเมืองซ้ำอีก แล้ววงจรเดิม ทหารก็ต้องเข้ามาดับวิกฤตการเมือง”

เกมพลังดูด-รวบรวมผู้คนการเมืองจึงเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น

“สุริยะ” ยืนยันต้องชนะ 3 คูหา ถึงจะถึงหลักชัยในการเดินทางครั้งใหม่

หลักชัยที่ 1 คือ รวบรวมผู้สมัคร ส.ส.ครบ 500 คน ได้แก่ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 350 คน ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน ซึ่งสำเร็จไปแล้ว หลักชัยที่ 2 ต้องชนะเลือกตั้งให้ได้อย่างน้อย 150 ที่นั่ง

สมมุติฐานที่ทำให้ “สุริยะ” เชื่อว่าจะได้ 150 ที่นั่ง คือ พื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน ที่ พปชร.มีสิทธิชิงชัย “คะแนนตกน้ำ” นำเข้าสู่ศูนย์กลาง หนุนให้พรรคมี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

เช่นเดียวกับคะแนนในเขตภาคใต้-ตะวันออกและภาคเหนือ ที่มีผู้สมัคร “สายแข็ง” และมีตัวที่จะทำ “เซอร์ไพรส์”

ส่วนภาคอีสาน อดีตขุนพลทักษิณยอมรับว่า “สู้ยากเพราะกระแสความนิยมเพื่อไทยยังเหนียวแน่น…แต่ก็มีหวัง” 

ทั้งหมดนี้เขาใช้เคล็ดวิชา “โพล” ของค่ายทักษิณ

หลักชัยที่ 3 คือ การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

สอดคล้องกับ “สมศักดิ์” ที่ถอดรหัส-ประสบการณ์การเมือง 10 สมัย แต่เขาไม่ได้ลงสนามด้วยตัวเองมากว่า 10 ปี เพราะยุคไทยรักไทยเขาขึ้นชั้นปาร์ตี้ลิสต์-ตามติดด้วยการเว้นวรรค 5 ปี

ความยากของการเลือกตั้งรอบนี้ของ “สมศักดิ์” จึงอยู่ที่กับดักความนิยมในตัว “ทักษิณ”

ทั้งเครือข่าย พปชร. ยอมรับกันทั้งพรรคว่า “กระแสความนิยมที่ยังตกค้างของพรรคการเมืองคู่แข่งยังมีมาก”

แต่ความง่าย-ที่เป็นหัวใจในการเลือกตั้ง “สมศักดิ์” อ่านเกมขาดดัง ๆ ว่า “รัฐธรรมนูญถูกดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”

“สมศักดิ์และพวก” เข้าใจตรงกันว่า โจทย์หินของพรรคร่างทรงทหารยุคก่อน คือ “คนไม่รู้จักว่าสามัคคีธรรมคืออะไร” แต่ยุคใหม่แก้โจทย์ด้วยปฏิบัติการ “ประชารัฐ”

“พูดถึงแนวนโยบายที่รัฐบาล หรือ พปชร.กำลังกำหนดแนวทางในการเดินเพื่อหาเสียง มีความสมบูรณ์แบบมาก อีกทั้งแนวทางที่เราจะเดินไปข้างหน้า 1-2 ปีย้อนหลังมานี้ ประชาชนมีความรู้สึกดีมากขึ้น เราจะทำอย่างไร เปลี่ยนความรู้สึกของคนต่อพรรคการเมืองเก่า ๆ ให้เห็นข้อเท็จจริง นำสิ่งใหม่ ๆ เข้าไปเปลี่ยนความรู้สึกของผู้คนที่ยังมีกระแสตกค้างอยู่ สร้างโอกาส เปลี่ยนเป็นชัยชนะ”

สมศักดิ์-ย้ำเรื่องการเก็บสะสมแต้มทั้งแบบชัยชนะเหนือน้ำ และคะแนนตกน้ำ “รัฐธรรมนูญที่ออกมานั้น ทั้งบัญชีรายชื่อและเขตเลือกตั้ง มีความสำคัญ ทุกคะแนนมีความสำคัญ เพราะฉะนั้น ตัวบุคคลแต่ละเขต แปรเปลี่ยนเป็นคะแนน มีความสำคัญ”

“ผมไม่เคยเห็นการเลือกตั้งครั้งไหน ที่พรรคการเมืองมีความพร้อมให้กับผู้สมัครเท่าครั้งนี้”

ปรากฏการณ์เปิดพรรคพลังประชารัฐ จงใจสั่นสะเทือนพรรคทักษิณ ที่กำลังคั่วบัญชีว่าที่ ส.ส.ร้อน ๆ ทั้ง 2 พรรค