ศรีอัมพร เปิด 8 ข้อ ค้านร่าง พ.ร.บ.ไซเบอร์ ทำลายหลักถ่วงดุล ตรวจสอบ ชี้เป็นกม.ลัทธิเผด็จการ

เมื่อเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่อาคารศาลอุทธรณ์กลาง ถนนรัชดาภิเษก นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ให้สัมภาษณ์ความเห็นถึงร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เคยสั่งการฝ่ายกฎหมายไปทบทวนรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งในเรื่องการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงควรพิจารณาว่าจะมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งตนทราบว่าร่างดังกล่าวที่มีการเเก้ไขเเล้วจะถูกนำเสนอเข้า ครม.ในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจากการที่ตนได้อ่านร่างที่มีการเเก้ไขไปเเล้วพบว่า ร่าง พรบ. ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ…..มีหลักการและเหตุผล ดังต่อไปนี้ 1. พรบ. นี้ มีเจตนารมณ์ที่จะวางมาตรการป้องปรามการกระทำผิดทางไซเบอร์ซึ่งกระทบต่อ ความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ เนื่องจากกระทรวงดิจิตอลและเศรษฐกิจ ผู้เสนอร่างอ้างเหตุผลว่า ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความรุนแรงยกแก่การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดไซเบอร์ จึงจำเป็นต้องออก พรบ. นี้

นายศรีอัมพร 2. มีการตั้งคณะกรรมการกำกับ ดูแลโครงสร้างการทำงานของการใช้กฎหมายฉบับนี้ โดยมีคณะกรรมการกำกับ ดูแลสำนักงานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ขึ้น เพื่อควบคุมโครงสร้างการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ การวิจัยและพัฒนาความรู้ เพื่อป้องกันการกระทำผิดทางไซเบอร์ ตลอดจนการกำหนดโครงสร้างเงินเดือนและตำแหน่ง ของสำนักงานป้องกันความปลอดภัยทาง
ไซเบอร์

3. จัดให้มีคณะกรรมการป้องกันความปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติขึ้น ซึ่งมีชื่อว่า “กปช.” คณะกรรมการ กปช. นี้มีอำนาจมากในการกำกับดูแล เจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงาน กปช.

4. มีการใช้อำนาจ กปช. และพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่พบการกระทำความผิดหรือสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดทางไซเบอร์ มีอำนาจเรียกให้หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานของเอกชน ตลอดจนผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์ ระบบสารสนเทศ ระบบผู้ใช้บริการทางไซเบอร์ เช่น ADMIN PAGE ผู้ที่ประกอบธุรกิจในการใช้บริการทางไซเบอร์ต้องเข้าพบและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานที่น่าสงสัยว่าเป็นการกระทำผิดหรือน่าสงสัยว่าจะกระทำผิดต่อเจ้าพนักงาน กปช.

นายศรีอัมพร  กล่าวอีกว่า กปช. มีอำนาจบังคับใช้หน่วยงานของรัฐและเอกชน ผู้ประกอบการเกี่ยวกับไซเบอร์ ทำรายงาน โครงสร้าง ความเสี่ยงและแผนป้องกันการกระทำผิดทางไซเบอร์ส่งให้แก่ กปช. ตามที่ กปช. กำหนดหรือตามคำสั่งของ กปช.ซึ่งจะ มีอำนาจให้เจ้าพนักงาน กปช. เข้าไปในเคหสถานตรวจยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ SERVER หน่วยความจำ (HARD DRIVE) อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการทางไซเบอร์ เช่น WEB SITE ผู้ใช้บริการ ADMIN เครื่องวิทยุโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไม่จำต้องมีหมายค้น แม้ยังไม่มีคดีความหรือการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในคดีอาญา กปช. ก็มีอำนาจตรวจยึดอุปกรณ์ทางไซเบอร์เหล่านั้นได้ โดยอำนาจดังกล่าวเป็นอำนาจที่สามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัด ไม่มีองค์กรฝ่ายตุลาการเข้ามาตรวจสอบหรือถ่วงดุลมีบทกำหนดโทษตั้งแต่ มาตรา 61 – 68 ในกรณีที่ผู้ดำเนินการทางไซเบอร์ไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชน ในกรณีไม่ดำเนินการส่งรายงานการควบคุมการทำงานของไซเบอร์ในความครอบครองของตน การขัดขวางไม่ยอมให้เจ้าพนักงานของ กปช. ตรวจยึดเครื่องอุปกรณ์ทางไซเบอร์ การที่บุคคลหรือนิติบุคคลปฏิเสธไม่ยอมบอกรหัสผ่าน เพื่อเปิดอุปกรณ์ทางไซเบอร์กฎหมายนี้ให้นายกเป็นผู้รักษาการณ์

นายศรีอัมพร  กล่าวต่อว่า  ตนเห็นว่าผลกระทบหากร่าง พรบ. ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์หากมีการใช้บังคับจะมีดังนี้1. เป็นการทำลายหลักการและโครงสร้างของระบบประชาธิปไตย 2. ทำให้กระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และสิทธิความเป็นมนุษย์ สิทธิทางการเมือง สิทธิความเป็นส่วนตัว ถูกทำลาย 3. ทำให้กระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในระบอบประชาธิปไตยเกิดความล้มเหลว
4. เป็นการทำให้โครงสร้างการปกครองจากนิติรัฐ กลายเป็นรัฐตำรวจ ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองและเป็นฝ่ายบริหารจะให้กฎหมายนี้ กำหลาบปราบปรามศัตรูทางการเมือง ศัตรูทางความคิดที่ไม่ตรงกับผู้ปกครองได้โดยง่าย 5. ทำให้ประเทศชาติไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ เพราะโครงสร้างระบอบประชาธิปไตยถูกบิดเบือนไป เป็นระบบคณาธิปไตย เป็นการขัดต่อธรรมเนียมการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และวัฒนธรรมทางการเมืองที่ประเทศที่นิยมประชาธิปไตยถือปฏิบัติ 6. เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุนจากประเทศอื่น เนื่องจากผู้ค้าและ ผู้มาลงทุน ไม่ไว้วางใจในการจะถูกล่วงละเมิดความลับทางการค้า ทางลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าและเครือข่ายการทำธุรกิจ 7. จะทำให้เป็นการบั่นทอนความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากจะไม่มีนักลงทุนจากต่างประเทศที่กล้ามาลงทุนภายในประเทศ 8. ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสื่อมทรามและไม่เชื่อมั่นในประเทศของเรา

นายศรีอัมพร ยังระบุอีกว่า หากร่างพรบ.ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์มีผลบังคับ จะเป็นการทำลายหลักการและโครงสร้างระบอบประชาธิปไตย การที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ระดับปฎิบัติมากเกินไปในการจับ ค้น ขัง ยึดโดยไม่ผ่านกระบวนการศาล จะทำให้กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน สิทธิทางการเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิความเป็นส่วนตัว และจะทำให้กลายเป็นเครื่องมือปราบปรามฝ่ายตรงข้าม เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน บั่นทอนความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แม้ร่างกฎหมายบอกว่า จะใช้วิธีการดังกล่าวกับกรณีกระทบความมั่นคงและเป็นเรื่องร้ายแรงเท่านั้น แต่คำว่า “ร้ายแรง” มันแค่ไหน เป็นดุลยพินิจหรือ ซึ่งดุลยพินิจแต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่มีมาตรฐาน ไม่เหมือนระบบการตรวจสอบโดยศาล

นายศรีอัมพร กล่าวด้วยว่า ในช่วงการร่างกฎหมาย คณะผู้ร่างไม่ได้เชิญผู้แทนจากสำนักงานศาลยุติธรรมเข้าไปรับฟังหรือให้ข้อมูล ทั้งที่มั่นมีประเด็นเกี่ยวกับการจับ การค้น การยึด ซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาชั้นต้น และมีโทษทางอาญา หากให้ศาลมีอำนาจในการตรวจสอบการค้นการจับการขังการยึด ก็ควรเป็นศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่เกิดเหตุหรือศาลอาญา และหากคณะผู้ร่างเชิญตัวแทนจากศาลยุติธรรม ตนก็พร้อมที่จะเป็นตัวแทนเข้าไปแสดงความคิดเห็น.ในต่างประเทศเรื่องกระบวนการยุติธรรมจะต้องผ่านศาลไม่มีที่ไหนที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารตั้งมาเเล้วมาดูเเล

นายศรีอัมพร  กล่าวต่อว่า ซึ่งความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯมันสามารถที่จะตรวจสอบไอพีได้ที่สามารถตามได้ ซึ่งที่ผ่านมา ปอท.ก็มีการดำเนินการจับกุมได้ ซึ่งอยากถามว่า ก.ดิจิทัลฯไม่มีบุคคลากรหรือเครื่องมือที่มีความสามารถเลยหรืออย่างไร ถึงมาผลักดันร่างกฎหมายลักษณะเเบบนี้ การที่เราออกกฎหมายให้อำนาจความสะดวกเเก่เจ้าพนักเจ้าหน้าที่เท่ากับเราละเลย เพิกเฉยต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน การกระทำในลักษณะเเบบนี้มันจะไม่สอดคล้องกับบริหารในประชาธิปไตยเเต่จะเป็นลักษณะลัทธิเผด็จการ ซึ่งก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีที่มีข่าวว่านายกรัฐมนตรี เคยสั่งให้มีการทบทวนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เกี่ยวกับเรื่องหลักการถ่วงดุล ตรวจสอบ เเต่ปรากฎว่าจากที่ตนอ่านร่างที่ว่ากันว่ามีการเเก้ไขเเล้วก็ไม่พบว่ามีหลักการที่จะตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของคณะกรรมการดังกล่าว อีกทั้งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีการพิจารณาออกมาจำนวนหลายร่าง มีก่รเชิญหน่วยงานอื่นๆไปรีวมประชุมเเต่กลับไม่มีการเชิญสำนักงานศาลยุติธรรมไปร่วมประชุม

เมื่อถามว่าที่มีพยายามการผลักดัน พ.ร.บ.ดังกล่าวในช่วงนี้ จะถูกมองว่านำไปช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงเลือกตั้งได้หรือไม่ นายศรีอัมพรระบุว่า จะยังไม่อาจที่สันนิษฐานอย่างนั้นได้ เราต้องเชื่อมั่นว่าทุกคนมีความสุจริตฯความตั้งใจของ ก.ดิจิทัลฯนั้นเป็นเจตนาดีในการปราบปรามการกระทำผิด