‘จตุพร’ ชี้ คสช.ไร้ชอบธรรม โยนบทให้กกต.เลื่อนเลือกตั้งแทน ยันทุกฝ่ายต้องจับมือ

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 ที่ห้องประชามติ ชั้น 5 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว กรณีแนวความคิดการจับมือทุกฝ่ายของพรรคเพื่อชาติ คือจับมือพูดคุยกัน โดยผลการเลือกตั้งไม่ได้บอกว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พรรคเพื่อชาติได้อธิบายความก่อนหน้านี้ชัดเจนว่า การพูดคุยเป็นภาระหน้าที่ ซึ่งตรงกับความคิดที่ตนได้นำเสนอมาตลอด เพราะถ้าพรรคการเมืองไม่ตกลงพูดคุยกัน บวกกับผู้มีอำนาจและภาคประชาชน เลือกตั้งเสร็จก็จะเป็นปัญหาของชาติ เพราะ รัฐธรรมนูญให้วุฒิสภา 250 คน เลือกนายกรัฐมนตรีด้วย เวลานี้พรรคที่ใหญ่ที่สุด คือ พรรคสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. จะไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเท่าพรรค สว.อีกเลย พรรคการเมืองอื่นต้องเริ่มนับตั้งแต่ 0 แต่พรรค สว.ที่ตั้งโดยหัวหน้า คสช.นั้น นับเริ่มต้นที่ 250 เสียง

ดังนั้น ความหมายของการพูดคุยกัน คือคุยกันเพื่อหาทางออก เช่นให้วุฒิสภา 250 เสียงนั้น ทำตามเจตนารมย์ของสภาผู้แทนราษฎร ถ้าในสภาผู้แทนราษฎรใครสามารถรวบรวมเสียง เกินครึ่งหนึ่ง ซึ่งโดยประเพณีปฏิบัติ ต้องให้พรรคที่ได้ลำดับที่ 1 เป็นผู้รวบรวมก่อน ถ้าสภาผู้แทนราษฎร ส่วนใหญ่อยู่ในฟากฝั่งใด วุฒิสภา 250 เสียงจะยืนมติตาม เจตนารมย์ของสภาผู้แทนราษฎร ถ้าเป็นเช่นนี้ ประเทศก็เดินหน้าต่อไปได้ แต่ถ้าคิดแบบแคบ ๆ โดยที่ไม่มีการตกลงกันก่อนนั้น มี 250 อยู่ในมือแล้ว หาเพียงแค่ 126 จะตั้งรัฐบาลได้ 376 เกินครึ่งแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ นายมีชัย ก็ออกแบบว่า เวลามามาสองสภา แต่เวลาอยู่ อยู่สภาเดียว รัฐบาลก็พังในพริบตา อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งเดียวก็ไปแล้ว เพราะฉะนั้นแนวความคิดที่พร้อมจับมือคุยกับทุกฝ่าย ยังจะต้องดำเนินกันอยู่ ส่วนจุดยืนทางการเมือง ก็ต้องเป็นจุดยืนประชาธิปไตย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการพูดคุยกัน

นายจตุพร ยังกล่าวถึงประเด็นการเลื่อนการเลือกตั้งว่า ภาษาหนังเขาเรียกว่า สลับหน้าเล่น เพราะว่า คสช.และรัฐบาล หมดความชอบธรรมใด ๆ ในการเสนอเลื่อนการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีหน้าที่ในการเลื่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้ คือ กกต. เพราะฉะนั้นในซีกของรัฐบาลก็จะต้องยืนยันว่าจะต้องเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธุ์ 2562 ถ้าจะมีการเลื่อนก็ต้องเป็นเพราะ กกต.ไม่พร้อม หรือจะมีอย่างอื่นอีก ซึ่งขณะนี้ยังมีพรรคการเมืองใหม่ที่ยังไม่ได้รับรองอีก 12พรรค ในระยะเวลาที่เหลือ 12 วัน ที่จะมีเวลาหาสมาชิก จัดตั้งสาขาพรรค สาขาภาค ในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ ไม่นับกลไกเลือกตั้งที่ต่างเห็นว่าไม่พร้อม เพราะฉะนั้นถ้าแบ่งบทกันเล่นแล้ว ทางรัฐบาลและคสช.ก็ต้องเล่นแบบกระต่ายสามขา ว่าไม่เลื่อน เพราะเวลาเลื่อนก็ต้องเป็นเพราะ กกต.ไม่พร้อม วันนี้มีใครกล้าการันตีจริง ๆหรือไม่ ว่าถ้าไม่ได้เลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แล้วคนในซีกรัฐบาลพร้อมจะลาออก จากคณะ คสช.หรือคณะรัฐบาล

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ถูกออกแบบให้ รวมกันแพ้ แยกกันชนะ เป็นหัวใจหลัก ถ้าพรรคการเมืองใดยังดำรงตนอยู่ในลักษณะเดิม จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตนเองได้เห็นแนวความคิดในซีกฝั่งของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือแนวความคิดในการแตกแบงค์พันต้นฉบับก็ว่าได้ เพราะว่าบุคลากรที่อยู่บนเวที กปปส.ได้แยกตัวไปอยู่ใน 5 พรรคการเมือง ไม่ว่าจะพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคประชาชนปฏิรูป

ส่วนเรื่องที่นายสุเทพพูดเรื่องการแตกแบงค์พันก็คือว่า แบงค์พันคือมูลค่าของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าไม่แตกจะมีมูลค่าเหลือเพียง 700 เท่านั้น แต่เมื่อแตกเป็นแบงค์ร้อยจะกลายเป็น 1500 เพราะฉะนั้นเมื่อซีกของนายสุเทพ คือต้นฉบับคือแยกเป็น 5 พรรคการเมือง ตนเองก็เห็นแนวความคิดนี้ ในยามนี้บ้านเมืองต้องการความสงบ ต้องการการเลือกตั้ง ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาของชาติ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นการแตกตัวของพรรคการเมือง จึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าต้องการจะเข้าสู่เวทีรัฐสภา เพราะว่าถ้าพรรคการเมืองไม่ปรับตัวให้เข้ากับรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองนั้นก็จะพ่ายแพ้ บุคลากรทางการเมืองต้องมีความเท่าทัน ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นการแยกตัวของพรรคการเมืองนั้น ไม่มีใครอยากแยกตัว แต่เขารู้ว่าถ้าไม่แยกตัว โอกาสในการเข้าสู่สภาจะน้อยลง ไม่ใช่แค่ในซีกที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้ เพราะในซีกกปปส.ก็อยู่ใน 5 พรรคการเมืองอยู่แล้ว เราเองก็เดินตามหลัก ให้เท่าทันแนวทางของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้นเอง