แต่ก็ไม่วายที่นายกปูจะโดนกระแนะกระแหน เมื่อ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกมากล่าวหาว่า ข้อความของนายกปูบางประการเป็นเท็จ ซึ่งนายกปูได้กล่าวไว้ว่า “หลังจากไปอุดหนุนซื้อข้าวหอมมะลิจากชาวนาที่ จ.อุบลฯ กับ จ.สุรินทร์ และนำมาช่วยขายแล้ว ส่วนหนึ่งก็ขอเก็บไว้ทานเองที่บ้านค่ะต้องขอบอกว่า ข้าวหอมมะลิที่เพิ่งสีมาใหม่ๆ นี่หอมจริงๆ ค่ะ เมื่อเช้านี้เลยตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทานเป็นข้าวต้มหรือข้าวสวยดี ก็เลยขอรับประทานทั้งสองแบบค่ะ”
เดียร์ขอชี้แจง ดร. เจิมศักดิ์ฯ ได้ทราบทีละประเด็นนะคะ เผื่อจะให้ความกระจ่างท่านได้บ้าง
1. ที่ท่าน ดร. เจิมศักดิ์ กล่าวว่า “ข้าวหอมมะลิใหม่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวเพราะเป็นข้าวนาปี ข้าวจะตั้งท้องพร้อมกัน ตามช่วงแสงของวัน” ประเด็นนี้คงไม่ถูกต้องนัก เพราะข้าวหอมมะลิที่ปลูกทางภาคอีสานมี 2 สายพันธุ์ คือ 1. หอมมะลิพันธุ์ กข15 เรียกว่า “ข้าวสายพันธุ์เบา” มีอายุการเก็บเกี่ยวต่ำกว่า 110 วัน และ 2. หอมมะลิพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เรียกว่า “ข้าวสายพันธุ์หนัก” มีอายุการเก็บเกี่ยวเกิน 110 วัน ดังนั้น ในบางพื้นที่จึงทำการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว (ซึ่งก็คือข้าวหอมมะลิสายพันธุ์เบาที่ท่านนายกปูได้ซื้อมาจากชาวนา จ. อุบลฯ และ จ. สุรินทร์ ซึ่งทำการเก็บเกี่ยวแล้ว) บางพื้นที่กำลังเก็บเกี่ยวอยู่ และบางพื้นที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวค่ะ ขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัด แต่ละพื้นที่ และแต่ละสายพันธุ์ ดังนั้น ความเข้าใจของท่านว่าข้าวจะตั้งท้องพร้อมกันคงไม่ถูกนัก
2. ข้าวที่ท่านนายกปูซื้อมาบางส่วนเป็นข้าวเปลือกที่ซื้อมาจากชาวบ้านที่ตากขายอยู่ริมถนน และได้นำไปสีที่โรงสีชุมชนเฉลิมพระเกียรติ จึงเป็นข้าวหอมมะลิที่เพิ่งทำการเก็บเกี่ยวและสีเป็นข้าวสาร มีกลิ่นหอม ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิเก่าค้างปีหรือข้าวหอมประทุมอย่างที่ ดร. เจิมศักดิ์ เข้าใจ เดียร์เลยกังวลว่า คนที่ถูกต้มเรื่องข้าว น่าจะเป็นคนที่เชื่อข้อมูลของ ดร. เจิมศักดิ์มากกว่าค่ะ ไม่ใช่นายกปู
หาก ดร. เจิมศักดิ์ ยังเข้าใจไม่กระจ่างในเรื่องนี้ อาจไปหาข้อมูลได้ที่ ต. ไพรขลา อ. ชุมพลบุรี จ. สุรินทร์ ค่ะ
แล้วอย่างนี้ เราจะอธิบายความรู้ ความคิด และพฤติกรรมของ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง คนนี้ว่าอย่างไรดีคะ?
