‘มาร์ค’ ลุยเพชรบูรณ์ ขอเสียงสนับสนุนเป็น หน.ปชป. ชูนโยบายเพียบ!

วันที่ 16 ตุลาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้สมัครชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) หมายเลข 1 ลงพื้นที่จ.เพชรบูรณ์ เพื่อพบปะสมาชิกพรรคฯ และประชาชนในเขตพื้นที่ อ.หล่มเก่า, หล่มสักและเขาค้อ เพื่อหาเสียงสนับสนุนในการกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ปชป.สมัยที่ 2 โดยจุดแรกที่บริเวณลานเอนกประสงค์ หมู่ 6 ต.ศิลา อ.หล่มเก่า มีประชาชนกว่า 500 คนร่วมรับฟัง โดยนายอภิสิทธิ์ปราศรัยถึงแนวทางการทำงานและบริหารพรรคฯทั้งอดีตที่ผ่านมาและสิ่งที่จะทำหากได้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ปชป.อีกสมัย

นายอภิสทธิ์ กล่าวปราศัยว่า อาสาตัวมาเป็นหัวหน้าพรรค เรื่องใหญที่สุด คือ มีความใฝ่ฝันมาเป็นนักการเมือง ตนเข้ามาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แล้วตนก็อยากเห็นบ้านเมืองและประเทศไทยเจริญก้าวหน้า และมีความกินดีอยู่ดี 20 กว่าปีที่ผ่านมา ตนเข้ามาเป็นรัฐมนตรี 1 ครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี 1 ครั้ง แต่ทั้ง 2 ครั้งที่ไปเป็นรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล เราไม่เคยเป็นในภาวะปกติเลย รอบแรกนายกชวนเป็นนายกรัฐมนตรี เรียกว่าประเทศแทบล้มละลายแล้ว ต้องไปกู้เงินสำรองจากต่างชาติมาเพราะเงินหมดแล้ว งบประมาณก็จะไม่มี ต้องกอบกู้เศรษฐกิจ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนวันที่ตนมาเป็นนายกฯเหมือนกัน วิกฤต เศรษฐกิจโลก  จำได้เข้าไปเป็นนายกวันแรก หนังสือพิมพ์ยังพาดหัวอยู่เลยคนไทยต้องตกงาน 2 ล้านถึง 3 ล้านคน วิกฤตแรงมากบางประเทศถึงวันนี้ยังไม่ฟื้นเลย แต่ว่าตนพร้อมทีมงานเข้าไปบริหารฟื้นเศรษฐกิจได้ เริ่มต้นนโยบายบางอย่างได้แต่ไม่มีเวลา บางอย่างได้ แต่ตนก็ทำไปเยอะ เพราะมาดูพี่น้องที่นี่ก็ดูว่ามีปัญหาอะไร ตนก็ทำนโยบายตรงกับความต้องการของพี่น้องนะ เช่นปัญหาที่ดินทำกิน หลายที่ไม่มีเอกสารบ้างไม่มีความแน่นอนบ้าง ก็มีการแก้กันมาหลายครั้งแต่ในยุคผม ได้มีความคิดใหม่ขึ้นมาคือเรื่องโฉนดชุมชน หลักการง่ายๆคือเรารู้ว่าบางที่มีปัญหาการออกเอกสารสิทธิ์ให้กับแต่ละคน แต่พี่น้องต้องการความมั่นใจว่าอยู่มาวันดีคืนดีถูกเจ้าหน้าที่ มาขับไล่ หลายพื้นที่ในเพชรบูรณ์ 4 ปีที่ผ่านมามีการบอกว่ามีการจัดระเบียบ ถ้าเราได้บริหาร โฉนดชุมชนต่อปัญหาแบบนี้ไม่เกิด

“แนวทางของผม ได้บอกกับประชาชน อะไรไว้ ว่า ต้องรักษา คำมั่นสัญญานั้น เพราะฉะนั้นมีทั้งกรณีภูทับเบิก กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยบ้าง กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยบ้าง รัฐบาลบางยุคบางสมัยตกลงกับเขาแล้ว ให้อยู่ตรงนี้แต่เวลาเปลี่ยนรัฐบาล ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาอีกแล้ว จะมาให้อยู่อีกแล้ว อย่างนี้ต้องหมดไปครับ ผมเตรียมทำเรื่องโฉนดชุมชนไว้ร้อยกว่าแห่งทั่วประเทศแต่เปลี่ยนรัฐบาลเสียก่อน หลังจากนั้นต่อมารัฐบาลก็ไม่ได้เอางานนี้ไปทำต่อ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า จากที่ทำกินที่น้องต้องการ เรื่องความมั่นคงเรื่องรายได้ ยังกรณีเรื่องราคาข้าวโพด นโยบายแต่ละยุคของรัฐบาลก็ไม่เหมือนกันอีก รัฐบาลบางรัฐบาลใช้นโยบายจำนำ แต่มีปัญหาจำนำแล้วมีโควต้า เกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถเข้าโควต้าได้ ต้องมาเรียกร้องเดินขบวนขอขยายโควต้า และการจำนำ เกษตรกรก็ต้องทำเยอะเพื่อจะได้คุ้มพอ ที่ไปจำนำ แม้รัฐบาลภายหลังจะมารับจำนำด้วยโควต้าสูงๆก็มีปัญหาอีกแถมมีการทุจริตคอรัปชั่นเข้ามาอีก แต่สมัยตน  ถ้าพี่น้องจำได้ เราคำนวณว่าต้นทุนเท่าไหร่รัฐบาลประกันให้ ถ้าราคาไม่ถึงเอาเงินมาให้เลย เป็นเงินส่วนต่างเอามาให้ พี่น้องเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดก็ไม่มีปัญหา ราคาขั้นต่ำดีแน่นอน เพราะเอาเงินมาให้ชดเชย อย่างกรณีข้าวโพดไม่ต้องใช้เงินเยอะ ปีไหนราคาดีก็ไม่ต้องชดเชย ตนอยากทำอย่างนี้ อยากขยายไปถึงเรื่องการประกันฝนไม่ตกฝนแล้ง หรือเกิดโรค หากปลูกแล้วมีประกันเราจ่ายเงินให้ งานแบบนี้แหละครับที่ตนเริ่มไว้และอยากทำให้สำเร็จ

“ส่วนปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะหนี้นอกระบบที่พี่น้องเหนื่อยที่สุด ซึ่งในยุคผมได้ลงมาทำข้อมูล ว่าใครมีหนี้นอกระบบ เราเชิญทุกฝ่ายมาเจรจา แล้วเปลี่ยนหนี้นอกระบบให้ไปอยู่กับออมสิน กับธกส.หรือธนาคารของรัฐ ดอกเบี้ยที่เคยเสียต่อเดือนก็กลายเป็นต่อปี ทำไปหลายแสนครัวเรือนทั่วประเทศ จนพี่น้องลืมตาอ้าปากได้ ต่อมานโยบายนี้ก็ไม่ได้ถูกสานต่อ ซึ่งนี่คืองานที่ผมอยากทำ และอยากจะมาทำต่อ และยังมีอีกหลายเรื่อง อาทิเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งอยากให้การศึกษามีคุณภาพ ยังไม่มีเวลาให้ทำ เรื่องเบี้ยยังชีพคนชราหรือผู้สูงวัย ผมเริ่มให้เบี้ยเลี้ยงเดือนละ 500 บาท ต่อมาเพิ่มเป็นขั้นบันได 600 บาทและ 700 บาทพูดกันตามตรงว่าไม่พอ ใช่หรือไม่ก็คิดว่าต้องทำเป็นระบบ ให้พี่น้องออมเงินมาและรัฐบาลสมทบทุนให้ เป็นกฎหมายเรียบร้อยแต่รัฐบาลต่อมาก็ไม่ทำอีก”นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า ยังมีนโยบายอีกหลายเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ แล้วอยากทำต่อที่สำคัญวันนี้ ต้องยอมรับว่า ชีวิตของพี่น้อง ยาก ลำบาก บ้านเมืองก็ต้องการคำตอบจากพรรคการเมือง ว่าจะเอาอย่างไร 4 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองก็ สงบ เรียบร้อยระดับหนึ่ง พี่น้องก็พึงพอใจตรงนี้ แต่เป็นยังไงบ้าง ใครว่าเศรษฐกิจดี บ้าน เขาบอกว่าเศรษฐกิจกำลังโตขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าบางช่วงของปีนี้โตถึง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ผมไปมาทั่วประเทศก็เหมือนที่นี่แหละครับ ไม่รู้ 4 เปอร์เซ็นต์หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ไปโตอยู่ที่ไหน วันนี้พรรคการเมืองต้องพูดเรื่องแบบนี้

“ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมจะบอกว่า เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญที่สุด นโยบายที่ทำมาและนโยบายใหม่จะต้องสอดคล้องกัน โจทย์ปัญหาของพี่น้องตรงนี้ หลายเรื่องไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างข้าวโพดราคาตก ไม่ใช่เหตุบังเอิญครับ รัฐบาลไทยมีนโยบายนำเข้าข้าวสาลีมา ทำให้ราคาข้าวโพดตก ก็บอกได้ว่ามีแต่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล้ามาบอกรัฐบาลว่าจะต้องทบทวนนโยบาย ถึงปรับแก้ราคาข้าวโพดถึงกระเตื้องขึ้นมา ผมบอกว่าเราต้องกล้าพูด วิจารณ์ หลายคนกลัวฉันอาการแบบนี้จะไปพูด วิจารณ์แต่ผมบอกว่า ภูทับเบิกเรื่องที่ทำกินเรื่องจัดระเบียบ เรื่องราคาข้าวโพด เป็นปัญหาของพี่น้อง ประชาชน ต้องกล้าพูด ต้องกล้าที่จะประกาศว่า เราจะเปลี่ยนนโยบายการบริหารเศรษฐกิจแบบนี้ มุ่งไปสู่ปัญหาของพี่น้องประชาชนที่ยากจน นี่เป็นสิ่งที่ผมอยากทำ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องอีกหลายๆเรื่องการศึกษาก็ดี เรื่องของการบริการสุขภาพ วันนี้มาพูดกันรักษาฟรีที่โรงพยาบาล ก็ไม่ได้แล้ว เพราะต้องไปดูแลผู้สูงอายุที่ติดบ้านติดเตียง เรื่องแบบนี้ล่ะครับถ้าหากถามผมว่า อยากมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่ออะไร ก็เพื่อนำพา บ้านเมืองนำพาพรรค ไปเป็นแนวทางหลักของการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพราะจะอยู่กันแบบนี้ต่อไปคงไม่ไหว และเราก็ไม่อยากกลับไปเหมือนก่อนหน้านี้ ที่มีรัฐบาลแล้วเกิดการทุจริตคอรัปชั่น เกิดการประท้วง แล้วก็จบลงที่ความขัดแย้งหรือความรุนแรง วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ เราอยากได้ทางเลือกใหม่สำหรับทุกคน ที่ประชาธิปไตยกลับคืนมาแล้วคนเรา เลือกตั้งไปแล้วกลับมาแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน ไม่โกงไม่กิน แล้วบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ นี่คือสิ่งที่อยากจะทำและอาสามาทำ

“มีคนถามว่าก็ผมเคยเป็นหัวหน้าพรรคมาแล้ว เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ครั้งนี้ต่างกันอย่างไร ก็ต้องบอกว่าต่างกันมาก เพราะสถานการณ์ที่ไปเป็นรัฐบาลครั้งที่แล้ว ต้องถูกรุมเร้ารุมล้อมและติดขัดปัญหาหลายอย่าง ผมทำส่วนต่างของรายได้ซึ่งพรรค ปชป. ไม่ได้คุมกระทรวงพาณิชย์,กระทรวงเกษตร แต่ยังทำได้ถึงขนาดนั้น ถ้าคราวนี้เราเป็นทางเลือกที่ชัดเจนไปเป็นรัฐบาลได้กระทรวงเหล่านี้แก้ปัญหาได้แน่นี่คือสิ่งที่ตั้งใจ และหากถามว่าไม่เหมือนเดิมเพราะอะไร ผมบอกว่าไม่เหมือนเดิมเพราะอยู่ที่ตัวผมด้วย ที่ผ่านมาตอนที่ผมเข้ามาเป็นนักการเมืองเมื่ออายุ 27 ปี ตอนที่ผมไปเป็นรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีสถานการณ์แบบนั้น ผมอยากทำหลายอย่างที่ผมคิดผมฝันไว้ ก็จะมีปัญหามีข้อจำกัดและจะมีคนคอยมาเตือน ว่าถ้าทำตรงนี้ เดี๋ยวจะไปกระทบตรงนั้นนะ เรื่องนี้ต้องพักไว้ก่อน เรื่องนี้ถ้าทำไปเดี๋ยวบ้านเมืองวุ่นวาย เรื่องนี้ถ้าทำไปเดี๋ยวบ้านเมืองวุ่นวาย สถานการณ์ไม่สงบอยู่ แต่เที่ยวนี้จะไม่ใช่ และในช่วงนี้ตัวผมอายุ 54 ปีแล้วถือว่ามากพอสมควร และหมดเวลาเกรงใจใครแล้ว อยากจะทำอะไรผมต้องทำให้สำเร็จและทำให้เร็ว เพราะผมคงไม่ไม่มีเวลาและได้รับโอกาสอีกแล้ว ที่จะให้ผมมาทำแบบนี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า  เพราะฉะนั้นบางเรื่องที่ยกตัวอย่าง ซึ่งในที่นี้ก็มีนักการเมืองมีอบต.หากจำได้ เมื่อไม่กี่ปีมานี้จะมีการยุบอบต ผมก็ออกมา ซึ่งเป็นนักการเมืองคนเดียวก็ว่าได้ที่ออกมา บอกว่าไม่เห็นด้วยขืนยุบรวม พี่น้องประชาชนต้องไปข้ามเขาไปรับบริการ คงไม่ได้หรอก ทำไมไม่คิดตรงกันข้ามว่าวันนี้ต้องเพิ่มอำนาจให้เขา ให้ทำอะไรให้พี่น้องมากขึ้น เที่ยวนี้ก็ต้องบอกเลยว่านโยบายจะไปถึงการเลือกผู้ว่า ซึ่งในอดีตจะมีการบอกว่านโยบายแบบนี้จะมีข้าราชการต่อต้าน วันนี้ผมไม่สนใจแล้ว ใครจะต่อต้าน ผมถือว่ามาบอกพี่น้องตั้งแต่ ก่อน เป็นหัวหน้าพรรค หากพี่น้องสนับสุนนผมเป็นหัวหน้าพรรคถือว่ามีพันธะสัญญากับที่ผมจะต้องทำ เมื่อเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งก็จะย้ำนโยบายนี้ แล้วเมื่อเข้ามาก็ต้องเดินหน้าทำอย่างเดียว

“ปฏิรูปตำรวจก็เหมือนกันรอบที่แล้ว บ้านเมืองไม่ค่อยสงบ มีคนบอกว่า ปฏิรูปตำรวจตอนนั้นเกิดปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ วันนี้ผมไม่รอแล้ว เดินหน้าทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นครั้งนี้จึงไม่เหมือนครั้งก่อน ครั้งนี้ผมจะบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ขอเป็นหลัก ให้กับ บ้านเมืองให้กับ พี่น้องประชาชน โดยครั้งนี้คือโอกาสที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ นำธงประเทศ ไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ที่พี่น้องประชาชนจับต้องได้ นี่คือความตั้งใจของผม เพราะฉะนั้นวันนี้ที่มาเราเริ่มจากภายในของเราคือพรรคประชาธิปัตย์ เรากำลังจะบอกว่าประชาธิปัตย์จะเอาแบบไหน ถ้าสนับสนุนผมเวลานักข่าวที่ตามผมไปเนี่ย ชอบถามผมประชาธิปัตย์ จะอยู่กับคสช ไมค์จะอยู่กับคุณประยุทธไหมจะจับมือ พรรคเพื่อไทยไหม ผมเป็นหัวหน้าพรรคผมตอบอย่างเดียวว่าตอนนี้ คุณถามผิดคำถาม พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเป็นตัวช่วยหรือกองเชียร์ใคร ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อจะไปทะเลาะกับใคร ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งที่หวังเป็นทางเลือก กับประชาชน สิ่งที่ผมพูดวันนี้เรื่องที่ทำกิน เรื่องหนี้สินและเรื่องอื่นๆ นี่คือประชาธิปัตย์ ผมเป็นหัวหน้าพรรค แล้วถ้าพี่น้องส่งกำลังให้ผมแบบนี้ ประชาธิปัตย์จะเดินง่ายเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ด้วยความชัดเจนว่า นี่คือหน้าที่ของเรานี่คือภาระของเรา ที่ต้องทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยภาวะของประเทศไทย หลุดพ้นจากแบบนี้ให้ได้ วันนี้จึงต้องมาขอรับการสนับสนุนจากทุกท่าน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  หลังจบการรปราศรัยนายอภิสิทธิ์ได้เดินพบปะประชาชนและสมาชิกพรรคฯรวมทั้งเกล่าแฟนคลับและบรรดาที่มาต้อนรับ และมอบดอกกุหลาบให้เป็นกำลังใจ ในขณะที่แม่ยกบางรายขอกอดและขอหอมแก้มรวมทั้งขอถ่ายเซลฟี่คู่กับนายอภิสิทธิ์ จนทำให้บรรยากาศการหาเสียงหยั่งเสียงชิงหัวหน้าพรรค ปชป.ในครั้งนี้เป็นไปด้วยรอยยิ้มมีความคึกคักเต็มไปด้วยสีสันอีกด้วย หลังจากนั้นคณะนายอภิสทธิ์ได้เดินทางไปพบปะสมาชิกพรรคฯในเขตพื้นที่อ.หล่มสักและอ.เขาค้ออีกหลายจุด