เปิดรายงานประชุมก.ต.ไม่ผ่าน’ชำนาญ’ขึ้นรองปธ.ศาลฎีกา ปมต่อรองโอนคดี

เปิดรายงาน ประชุม ก.ต.วาระไม่ผ่าน’ชำนาญ’ขึ้น รองปธ.ศาลฎีกา เผยปมต่อรอง ชีพ’ประธานศาลฎีกา อนุญาตให้โอนคดีศาลฉะเชิงเทราตามขอ ‘สืบพงษ์’ร่อนจม.เเนบรายงานอภิปรายเหตุผลไม่ผ่านตำเเหน่งรองปธ. ถึงตุลาการทั่วประเทศประกอบพิจารณาถอดถอน ออกจาก ก.ต.หรือไม่

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 ได้ออกหนังสือเเจ้งข่าวกับผู้พิพากษาทั่วประเทศ มีเนื้อหาว่า “เรียนท่านผู้พิพากษาทุกท่าน วันนี้ สำนักงานศาลยุติธรรมเผยเเพร่รายงานการประชุม ก.ต. ครั้งที่ 13/2561 ซึ่งมีการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561 กระผมจึงขอเผยเเพร่ต่อผู้พิพากษาทุกท่านเพื่อจะได้ใช้ในการพิจารณาข้อเท็จจริงเเละพฤติกรรมของ นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ซึ่งกระทำ ณ ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 ตามที่ ก.ต.เเต่ละท่านได้อภิปรายเเละลงมติไว้ การอภิปรายในที่ประชุม ก.ต.นั้นที่ประชุมได้สดับตรับฟังข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของอนุ ก.ต.ซึ่งได้ไต่สวนพยานบุคคลผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเเละเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้ชี้เเจงเเละนำพยานบุคคลเข้าไต่สวนอย่างเต็มที่เเล้วตามหลักฟังความทุกฝ่าย ในท้ายที่สุด ก.ต.ลงมติด้วยเสียงข้างมาก 11 ต่อ 3 ว่านายชำนาญมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำเเหน่งรองประธานศาลฎีกาในวาระ 1ตุลาคม 2561

กระผมขอเรียนทุกท่านว่า รายงานการประชุม ก.ต.ฉบับนี้ เป็นการเผยเเพร่ตามความในมาตรา 45 วรรคท้าย เเห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 ประกอบข้อบังคับการประชุม ก.ต.พ.ศ. 2543 ข้อ 24 เเละ ข้อ 26 ซึ่งกำหนดให้ต้องทำสำเนารายงานการประชุมซึ่งที่ประชุมรับรองเเล้วเพื่อเผยเเพร่ต่อข้าราชการตุลาการ ดังนั้นการส่งต่อรายงานการประชุมฉบับนี้จึงสามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

กระผมเเละคณะได้ทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อเท็จจริงเรื่องนี้เสนอต่อผู้พิพากษาทุกท่านจนครบถ้วนกระบวนความเเล้ว ขอได้โปรดพิจารณาคำอภิปรายของ ก.ต.เเต่ละท่าน เพื่อใช้ประกอบดุลพินิจในการลงมติต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับรายงานการประชุม ก.ต. ครั้งที่ 13/2561 ดังกล่าวนั้นเป็นรายงานการประชุมที่มีรายละเอียดบันทึกถ้อยคำการอภิปรายเเละความเห็นการลงมติการเเต่งตั้งโยกย้ายตุลาการในระดับต่างๆมีความยาวทั้งหมด 87 หน้ากระดาษ โดยในวันดังกล่าวมีวาระการพิจารณาเรื่องเห็นชอบบัญชีรายชื่อ นายชำนาญ ขึ้นเป็นรองประธานศาลฎีกาตามที่ สํานักงานศาลยุติธรรมเสนอ โดยเนื้อหามีการอภิปราย(หน้า19-46เเละช่วงท้ายสุด)ถึงเหตุการณ์ในศาลจังหวัดฉะเชิงเทราเเละจากสํานวนที่ อนุ ก.ต. ประจําชั้นศาลทุกชั้นศาล ได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเเละมีมติเสียงข้างมากเห็นชอบให้นายชำนาญผ่านคุณสมบัติ ซึ่งในการอภิปรายในวันดังกล่าว ก.ต.เสียงข้างมาก 11 ต่อ 3 ได้มีมติไม่เห็นชอบนายชำนาญขึ้นรองประธานศาลฎีกา

ซึ่งหลังจากที่นายชำนาญได้กลับเข้ามาในห้องประชุมเเละได้ทราบมติของที่ประชุม ก.ต.ก็ได้มีการเเถลงต่อที่ประชุมสรุป ว่าสํานวนที่ อ.ก.ต. ประจําชั้นศาลทุกชั้นศาล ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่ได้นำข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายทั้งหมดที่พยานให้ถ้อยคํามาให้ผมได้ชี้เเจง คําให้การต่าง ๆ ที่นํามาวินิจฉัยนั้นผิดกฎหมายทั้งหมด คณะ อนุ ก.ต.ไม่เคยนํามาให้ผมดูแม้แต่นิดเดียวซึ่ง สิ่งเหล่านี้คือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบซึ่ง ผมถือ เป็นหลักใหญ่สําคัญ และ อนุ ก.ต.ก็วินิจฉัยตามสํานวนการสอบสวนที่ไม่ชอบ จะเห็นว่าตนมีความเหมาะสม หรือไม่ต้องดูข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน เเละจะต้องดําเนินการใหม่ตามที่โต้แย้งขอให้หยุดการ พิจารณาตําแหน่งอื่นไว้ ต้องเอาข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายต่อตนทั้งหมดที่พยานแต่ละปากให้ถ้อยคําไว้มา ให้ตนดูเพราะหากข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนแล้วหาก ก.ต. วินิจฉัยตามสํานวนที่ไม่ชอบเเล้วบอกว่าผมไม่เหมาะสมนั้นไม่ถูกต้องจึงขอให้ ก.ต. มีมติให้คณะ อนุ ก.ต.กลับไป สอบสวนข้อเท็จจริงใหม่

โดยหลังจากการเเถลง ได้มีการให้นายชำนาญออกนอกห้องเเละ ก.ต.มีการประชุมถึงประเด็นที่นายชำนาญได้เเถลง เเละที่ประชุม มีมติเห็นว่าที่ประชุมคณะ อนุ ก.ต.ได้ดำเนินการชอบด้วยระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยองค์ประกอบ หลักเกณฑ์วิธีการแต่งตั้ง ดําเนินงานของคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2554 ข้อ 25 วรรคสอง แล้ว จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่ทบทวนมติ ก.ต. ที่ไม่เห็นชอบให้นายชํานาญ ดํารงตําแหน่งรองประธานศาลฎีกา ตามบัญชีที่สํานักงานศาลยุติธรรมเสนอ

หลังจากนั้น นายชำนาญได้กลับเข้ามาเเละทราบมติดังกล่าวจึง ได้เเจ้งในที่ประชุม ก.ต.ว่าผมพยายามประนีประนอมแต่เมื่อที่ประชุมยืนยันว่า คณะอนุ ก.ต.กระทําโดยชอบเป็นการมัดมือชก โดยผมจะขอดําเนินคดีให้ปรากฏ ไม่เช่นนั้น ผมจะเสียชื่อเสียง จําเป็นต้องทําตามกฎหมาย และแจ้งให้ก.ต. ทุกท่านทราบแล้ว ผมขออนุญาตประธาน ฯ เพราะผมเสียชื่อเสียงเพียงแค่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมจากข้อเท็จจริงที่ไม่ครบถ้วน

โดยหลังจากนั้นก็ได้มีการประชุมพิจารณาเเต่งตั้งในตำเเหน่งอื่นกันต่อ โดยมีอยู่ช่วงหนึ่ง นายชำนาญได้ขึ้นอภิปรายขอให้ย้ายนาย ฐ (สืบพงษ์ )จากอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 (หน้า70)โดยให้เหตุผลว่าเป็นข้อกล่าวหาสำคัญที่โจทก์ในคดีที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราได้ขอให้สอบสวนอธิบดีผู้พิพากษาภาคสองด้วยข้อกล่าวหาสำคัญและผมจะกล่าวโทษนายสืบพงษ์เองในวันนี้

โดยนายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกาในฐานะ ประธาน ก.ต.กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า

“ผมขอหารือกับนายชำนาญท่านบอกผมว่าไม่ต้องการให้ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราตัดสินคดีนี้ ซึ่งเชื่อว่าเวลานี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนก็ไม่ต้องการตัดสินคดีเช่นกัน ท่านจะทำหนังสือมาถึงผมขอโอนคดี ผมก็จะโอนคดีให้ตามที่ท่านขอเเละคิดว่าศาลจังหวัดฉะเชิงเทราก็น่าจะพอใจคดีไม่ได้ตัดสินภายใต้เขตอำนาจของศาลในสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคสองแล้วประกอบกับนาย ฐ (สืบพงษ์)ไม่ได้ขอย้ายและไม่มีผลในการตัดสินคดีนี้ ส่วนการร้องเรียนให้ดำเนินการทางวินัยก็ให้เป็นไปตามขั้นตอน ดังนั้นไม่น่าจะกระทบกับบัญชีเพราะนายสืบพงษ์ไม่ขอย้าย ก.ต.จะย้ายนายสืบพงษ์ทันทีไม่ได้”

ในช่วงท้ายการประชุม นายชีพได้ให้นายชำนาญ แถลงต่อที่ประชุม

ยนายชำนาญแถลงว่า “ผมมีหนังสือถึงท่านประธานศาลฎีกาขอโอนคดีนี้ ความปลอดภัยของคดีเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องตำแหน่งของผม ไม่สำคัญผมได้กราบเรียนท่านประธานศาลฎีกาว่าปัญหาเรื่องตำแหน่งของผมจะยุติไม่มีการกระทำใดๆทั้งสิ้นแม้ผมจะทำได้ก็ตาม ผมเป็นผู้ใหญ่และทำทุกอย่างเพื่อองค์กร จะไม่กระทำสิ่งใดเพื่อตำแหน่งส่วนตัว ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่ยึดติดในตำแหน่ง “ผมขอเรียนก.ต.ทุกท่านว่าให้สบายใจได้จะไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่กระทบกระเทือนต่อองค์กรของเราผมยอมเจ็บเพื่อรักษาองค์กร” ทุกคนไม่ต้องกังวลความสามารถทำงานร่วมกับผมได้ ขอให้ทุกอย่างสง่างาม ตำแหน่งไม่สำคัญเท่าชื่อเสียง “จะไม่มีการกระทำใดๆอย่างเด็ดขาดให้เสียหายต่อองค์กร” นายชำนาญระบุในที่ประชุม ก.ต.

โดยนายชีพ กล่าวว่า “ในฐานะที่ผมเป็นตัวแทน ก.ต.ทุกท่านขอชื่นชมในน้ำใจของนายชำนาญ ก.ต.ทุกท่านก็คงคิดมา3-4วัน ทุกคนมีความเครียด ไม่ได้เครียดว่านายชำนาญจะได้ตำแหน่งหรือไม่แต่สังคมภายนอกกำลังจับจ้องสถาบันศาลยุติธรรมถ้าเราช่วยกันทำในสิ่งที่ถูกต้องช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรผมเชื่อมั่นว่าองค์กรของเราจะคงอยู่กับประเทศอย่างมั่นคงต่อไป เมื่อนายชำนาญแสดงน้ำใจเชื่อว่าผู้พิพากษาทั่วประเทศก็จะชื่นชมยินดีกับท่าน ที่แสดงสปิริต ทุกคนเห็นว่าท่านมีจุดยืนอย่างที่ทำมาตลอดชีวิตราชการ ท่านทำเพื่อสถาบันไม่ใช่เพื่อตนเอง เมื่อท่านทำเช่นนี้ผมคิดว่าเป็นที่ชื่นชมของผู้พิพากษาทั้งหมดไม่ใช่เพียงแค่ ก.ต.เท่านั้น ผมเชื่อว่าเมื่อท่านมีหลักคิดเช่นนี้จะทำให้มีโอกาสเติบโตไปอีกไม่ใช่แค่ในศาลยุติธรรม ผมเชื่อมันอย่างนั้น เมื่อคิดดีและทำดีก็ย่อมได้ดี

ส่วนเรื่องที่นายชำนาญรู้สึกไม่สบายใจที่จะให้ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราพิจารณาคดีนี้ต่อไปและมีหนังสือมาถึงผมเพื่อขอโอนคดีไปที่ศาลแขวงสมุทรปราการ ผมจะพิจารณาในข้อกฎหมายว่าติดขัดหรือไม่หากสามารถทำได้ผมก็จะทำ สาเหตุที่ผมไม่ขัดข้องเพราะคดีไม่จบที่ศาลชั้นต้นแน่นอนจะต้องทบทวนในศาลสูงดังนั้นจะพิจารณาคดีที่ใดผมก็ไม่มีปัญหา เมื่อนายชำนาญร้องขอและไม่ขัดต่อกฎหมายผมก็รับปากเพื่อให้ท่านสบายใจหากศาลแขวงสมุทรปราการตัดสินแล้วท่านไม่เห็นด้วยก็อุทธรณ์หรือฎีกาตามระบบ”

อ่านประกอบ รายงานการประชุมหน้า 19-46 และ 70