‘อภิสิทธิ์’ ลั่น ไม่เกรงใจใครแล้ว ขอเป็นหลัก นำการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุดสู่ประเทศ

อดีต ส.ส.กทม.แห่ให้กำลังใจ “นัมเบอร์วัน” เป็น หน.ปชป.ต่อ “อภิสิทธิ์” เปิดแคมเปญ “MakeMyMark” อาสานำพรรคสู่การเปลี่ยนแปลงเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ย้ำ ขอเป็นทางหลักไม่เป็นอะไหล่ให้ใคร “มาร์ค” ยันอีกรอบ หมดเวลาเกรงใจใครแล้วแม้แต่คนในทำเนียบฯ

เมื่อเวลา 09.45 น.วันที่ 9 ตุลาคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ปชป.ดูแลพื้นที่ กทม. นำคณะอดีต ส.ส.กรุงเทพฯ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) พรรค ปชป. อาทิ นายชนินทร์ รุ่งแสง ม.ล.อภิมงคล โสณกุล นายสรรเสริญ สมะลาภา นายกรณ์ จาติกวนิช น.ส.อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.กทม. รวมถึงนายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง อดีต ส.ส.ปทุมธานี พรรค ปชป. มามอบช่อดอกไม้และดอกกุหลาบสนับสนุนให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. ผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค หมายเลข 1 โดยนายองอาจกล่าวว่า อดีต ส.ส.กทม.ทั้ง 23 คน จะสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ให้ได้รับชัยชนะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกสมัย และเชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะสามารถนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่พรรคได้

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ถึงการรณรงค์หาเสียงแคมเปญด้วยแฮชแท็ก #MakeMyMark ในโซเชียลมีเดีย ว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ร่วมงานกับพรรคสนับสนุนแนวคิดนี้ขึ้นมา โดยจัดทำคลิปวิดีโอที่แสดงออกถึงการสนับสนุนตน คำว่า “MakeMyMark” มีหลายความหมาย ไม่เกี่ยวกับชื่อตน แต่เป็นการได้แสดงออก มีส่วนร่วมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึงการสนับสนุนตนให้มาทำหน้าที่การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่คนในประเทศรอคอย ถ้าเล่นคำว่า Mark มาเป็นชื่อตนก็จะสื่อสารว่ากระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคด้วยตัวเขาเอง เพราะตนต้องเปิดกว้างในการรับมุมมองต่างๆ เพื่อสร้างพรรค ปชป.และสร้างสิ่งใหม่ให้ประเทศไทย ส่วนตนก็ชัดเจนว่าการเปิดกระบวนนี้นอกจากจะเป็นการยกระดับให้กับพรรคการเมืองไทยแล้ว ยังเป็นการทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของจุดยืนพรรค ตนอาสานำพรรคไปในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยที่ใหญ่ที่สุด ให้หลุดพ้นจากปัญหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แม้ 4 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ แต่ตนได้ใช้เวลาทั้งหมดเรียนรู้ศึกษาปัญหา ทบทวนอดีต จึงมั่นใจว่ายังมีสถานการณ์ใหม่ โอกาสใหม่ คนใหม่ๆ เข้ามา เราจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดได้

เมื่อถามว่าการแข่งขันครั้งนี้ คนภายนอกมองเข้ามาเหมือนมีความขัดแย้งกันเองภายในพรรค นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ขัดแย้ง คนภายนอกส่วนใหญ่มองว่าเป็นกระบวนการที่ต้องหันมาสนใจว่าพรรคการเมืองไทยมีกระบวนการหยั่งเสียงเช่นนี้แล้ว ซึ่งเราสัมผัสได้ หลายคนมาบอกกับตนว่ามีเพื่อนฝูงที่ไม่ได้สนใจพรรคการเมือง แต่เมื่อมีเรื่องนี้ขึ้นมา เขาสนใจ บางคนก็อยากมีส่วนร่วมถึงขั้นมาสมัครสมาชิกพรรคเพื่อเข้าสู่กระบวนการหยั่งเสียงตรงนี้ นี่คือสิ่งที่เราได้รับการตอบรับ ส่วนความขัดแย้งเป็นเรื่องของกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเวลามีการแข่งขันก็จะมีนักวิเคราะห์มุ่งเน้นตรงนั้น แต่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเป็นกระบวนการประชาธิปไตย นี่คือมิติใหม่พรรคการเมือง

เมื่อถามว่าการที่ระบุว่า “อายุ 54 ปีแล้ว ไม่เกรงใจใคร” หมายความว่าอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หมายความอย่างที่พูด เมื่อถามย้ำว่าที่ผ่านมาเกรงใจอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อตนเข้ามาสู่การเมือง และทำงานการเมืองมาตั้งแต่อายุ 27 ปี การที่จะเดินหน้าทำอะไรเราต้องระมัดระวัง ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะที่มาทำการเมืองเนื่องจากมีความเชื่อและอุดมการณ์ มาพร้อมกับความฝันว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างไร

“การที่เคยได้รับโอกาสมาครั้งหนึ่ง ผมก็ยังมีความเชื่อ อุดมการณ์และความฝัน ความฝันหลายเรื่องก็ยังทำไม่ได้ ตอนที่เป็นนายกฯครั้งแรกก็เป็นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของโลกพร้อมสถานการณ์บ้านเมืองปั่นป่วน ผมก็กอบกู้วิกฤตได้ เริ่มต้นบางอย่างได้ แค่ไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง วันนี้ผมอาสาตัวเอง เพราะรู้ว่าอายุเท่านี้แล้ว เข้ามาเล่นการเมืองต้องการสร้างฝันให้เป็นจริง ผมไม่มีเวลาอีกมากแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ผมว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เล็กเกินไปแล้ว อยากให้อะไรเกิดขึ้นผมต้องทำ ไม่มีอะไรลังเลใจอีกต่อไป และไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะนี่คือโอกาสใหม่ เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้ผมผลักดันสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นให้ได้” หัวหน้า ปชป.กล่าว

เมื่อถามว่าที่บอกว่าไม่เกรงใจใครมีนัยยะส่งสัญญาณถึงคนในทำเนียบหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่เกรงใจใครทั้งนั้น เมื่อถามย้ำว่าที่ผ่านมาทำอะไรไม่ได้เพราะเกรงใจใครใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า ตนบอกว่าเรามีข้อจำกัดอย่างที่ยกตัวอย่างการเป็นรัฐบาลครั้งที่แล้ว ทุกคนต้องเรียนรู้และตนก็ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้อย่างที่ประกาศไปว่า ตนไม่เกรงใจใครก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ตนได้มาทบทวน เพราะวันนี้เป็นอีกสถานการณ์หนึ่งแล้ว บ้านเมืองต้องหลุดพ้นจากจุดนี้ไปให้ได้ ถ้าไม่ทำครั้งนี้ก็มีโอกาสสูงมากติดหล่มไปอีกนาน

เมื่อถามถึงจุดแข็งที่จะได้โอกาสกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่นักการเมืองมีคนชอบหรือไม่ชอบ แต่ประวัติของตนยืนยันได้ว่าที่ทำไปมีผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน เชื่อว่าทุกคนคงเห็นความทุ่มเท ความไม่หยุดนิ่ง ทำให้ตนมีความพร้อมในการที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากปัญหาทั้งหมด

เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์ถึงการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์ด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครท่านอื่นว่ามีแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2489 จะปฏิบัติอย่างจริงจัง และเดินหน้าประเทศไปให้ได้ เมื่อถามย้ำว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะชี้ชะตาว่าพรรคประชาธิปัตย์จะร่วมกับ คสช.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนคิดว่าคงต้องไปถามผู้สมัครท่านอื่น เพราะสำหรับตนคำถามแบบนี้ไม่ควรมาถาม ปชป. แต่ควรจะไปถามคนอื่นว่าจะมาร่วมกับ ปชป.สร้างบ้านเมืองหรือไม่

“ถ้าเกิดใครก็ตามยังคิดว่าหน้าที่ ปชป.คือจะไปช่วยใคร หรือไปร่วมกับใคร จะไปเป็นรัฐบาล แต่ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ที่จะไปร่วม ที่จะไปเป็นรัฐบาลจะไปทำอะไร และความคิดความเชื่อ อุดมการณ์คืออะไร ก็ไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ ผมยืนยันว่า การเป็นทางหลักคือเราเป็นตัวของตัวเอง มีความชัดเจนในจุดยืน ยืนยันว่าเราไม่ใช่พรรคอะไหล่ให้ใครทั้งนั้น แต่ ปชป.จะต้องเป็นพรรคการเมืองหลัก มีความตรงไปตรงมา มีความก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น” นายอภิสิทธิ์กล่าว

เมื่อถามว่าหมายความว่าจะเป็นแกนนำจัดตั้งในการจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น โดยไม่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะเป็นอะไรหรือไม่ อยู่ที่ประชาชนจะเลือกหรือไม่ แต่จุดยืนชัดเจนว่าเราอาสาและพร้อมจะเป็นทางหลักของประเทศ

เมื่อถามว่าถึงการที่ กรธ.ร่างกฎหมายไม่อยากให้พรรคการเมืองใหญ่ขึ้น แต่มีบางพรรคการเมืองยังไปตั้งนอมินีพรรคขึ้นมา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ใครจะออกแบบระบบอย่างไร และใครจะใช่เล่ห์กลอย่างไรก็ตาม ตนอยากบอกว่าประชาชนเท่านั้นจะเป็นคนชี้ว่าใครจะใหญ่หรือไม่ใหญ่ ส่วนกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า อดีต ส.ส.จะไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือตั้งพรรคนอมินีก็ไม่มีความผิดนั้น เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่รักษาการตามกฎหมาย ก็ต้องไปดูว่ามีคนทำผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะกฎหมายมีเจตนารมณ์ห้ามพรรคการเมืองฮั้วกัน และยืนยันว่าในส่วนของ ปชป.ไม่มีการแตกแยกเป็นสาขาเป็นนอมินีใดๆ ทั้งสิ้น