2ติ่งเกาหลีส่อคุก5ปี ททท.ทุ่มงบกว่า 20 ล้านล้อมคอก(ชมคลิป)

กรณีโลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังมีหญิงสาวปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้าไปเขตหวงห้ามของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อไปรอรับนักร้องเกาหลี อีจงซอก

วันที่ 19 กันยายน 2561 ที่ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าชั้น 2 ประตู 10 อาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ 1) เปิดเผยถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยและการเข้าถึงเขตพื้นที่เขตหวงห้ามท่าอากาศยาน ว่า ความคืบหน้าล่าสุด ได้มีการเรียกให้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีความผิด 2 ราย เข้าพบในช่วงบ่ายวันนี้ ส่วนหญิงสาวอีก 2 ราย ทราบว่ามีการเรียกเข้าพบในวันนี้เช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดในส่วนของเวลา ต้องประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง โดยทางทอท.ได้แจ้งความดำเนินคดีหญิงสาวทั้งสองคน ฐานบุกรุกพื้นที่ควบคุมในยามวิกาล ซึ่งเป็นคดีอาญา มีโทษสูง จำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังมีความผิดฐาน ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (พ.ร.บ.) พ.ศ.2497 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร 2 ราย ที่พบว่าเป็นผู้สนับสนุนพาคนนอกเข้าพื้นที่ 1 ราย และมีการยืมบัตรของเจ้าหน้าที่มาใช้อีก 1 รายนั้น ต้องให้ทางเจ้าพนักงานสอบสวนให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาอีกครั้ง

ทั้งนี้ ยืนยันว่าระบบรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไม่ได้หละหลวมแต่อย่างใด ค่อนข้างเข้มงวดและรัดกุมมากพอแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากตัวบุคคล ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และคนนอกที่พยายามหาช่องทางเข้ามายังพื้นที่ควบคุม ซึ่งต้องยอมรับว่าในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด ทำให้คนนอกสามารถผ่านเข้าไปได้ เบื้องต้นทางทอท.ได้ย้ายเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในจุดตรวจสอบสิทธิวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ให้ไปประจำยังจุดอื่นแล้ว หลังจากนี้จะมีการปรับปรุงระบบความปลอดภัยให้มากขึ้นอีก โดยจุดตรวจสอบสิทธิ จะมีการเปลี่ยนใช้บัตรที่มีถาพถ่ายของเจ้าของบัตร เมื่อเข้าสู่จุดตรวจสอบสิทธิ จะเพิ่มการสแกนลายนิ้วมือ และมีภาพถ่ายของผู้ขอเข้าพื้นที่ควบคุมขึ้นยังจิแสดงผล เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่และเป็นเจ้าของบัตรตัวจริง โดยกำหนดงบประมาณในการเพิ่มมาตรฐานระบบรักษาความปลอดภัยประมาณ 20 ล้านบาท คาดว่าในปีหน้าจะเห็นระบบรักษาความปลอดภัยระบบใหม่อย่างแน่นอน

นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการออกบัตรเจ้าหน้าที่โดยส่วนราชการ ให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน เป็นบัตรส่วนกลาง ไม่มีรูปภาพยืนยันตัวตนของผู้ถือบัตร และเมื่อมีการนำบัตรออกมาใช้หรือนำออกข้างนอก ทำให้ยากต่อการควบคุมดูแล และทำให้เกิดความเสี่ยงในการรักษาความปลอดภัย ซึ่งเคยมีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นแล้ว ทำให้ต้องมีการทำบัตรรูปแบบใหม่ขึ้น เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้สะดวกมากกว่าเดิม โดยหากจะเข้าสู่พื้นที่ควบคุมได้ต้องผ่านการตรวจสอบหลายจุด ดังนี้ จุดที่ 1 เป็นจุดตรวจสอบสิทธิ ต้องมีบัตรเจ้าหน้าที่ใช้ในการยืนยันตัวตนเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปด้านในได้ หากบัตรที่ใช้งานออกโดยราชการและผู้ถือบัตรเป็นตัวจริงแน่นอน จะมีไฟสีเขียวแสดงถึงการผ่านการตรวจสอบแล้ว จุดที่ 2 เป็นจุดรอรับกระเป๋าสัมภาระสายพานที่ 17 จุดที่ 3 เป็นจุดเข้าสู่พื้นที่ควบคุม ต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรก่อน จึงจะสามารถเข้าด้านในได้ จุดนี้เป็นจุดที่หญิงสาวสองคนไม่สามารถผ่านเข้าไปได้แน่นอน เนื่องจากพฤติการณ์ของหญิงสาวมีการใช้บัตรที่ไม่ใช่ของตนเอง ทำให้ไม่ผ่านการตรวจสอบ จึงมีการรอรับศิลปินเกาหลีอยู่ที่จุด 2 คือ บริเวณจุดรอรับกระเป๋าสัมภาระสายพานที่ 17

“หลังจากนี้อยากขอร้องทางเจ้าหน้าที่พนักงานและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยการให้ความร่วมมือในการตรวจสอบสิทธิและยืนยันตัวตน เพื่อการรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่ ทำให้อาจไม่ได้รับความสะดวกมากเท่าที่ควร แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกคนก็อยากให้ร่วมมือด้วยความเต็มใจ เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกครั้ง เพราะส่งผลกระทบต่อหลายหน่วยงานที่ทำงานร่วมกันค่อนข้างมาก และประชาชนทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดรัดกุมมากอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดจากตัวบุคคล ไม่ได้ผิดพลาดจากระบบงาน” นายกิตติพงศ์กล่าว