โพลความเชื่อมั่นเอกชน ส.ค.สูงสุดรอบ8ด. ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว ดันศก.กระจายตัว

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือนสิงหาคม 2561 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยทุกภาคดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่้อมั่นฯโดยรวม อยู่ที่ 49.8 เป็นดัชนีสูงสุดนับจากทำการสำรวจมา 8 เดือน ปัจจัยบวกส่งต่อความเชื่อมั่นดีขึ้น คือ การปรับคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 4.6% การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ราคาพืชผลเกษตรปรับตัวขึ้นในบางพื้นที่ การท่องเที่ยวและการส่งออกขยายตัวดีต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนภาครัฐ และส่งเสริมภาคเกษตรของรัฐ ทำให้การบริโภคขยับตัวดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยลบต่อความเชื่อมั่นฯ คือ ผลกระทบจากน้ำท่วมภาคอีสานและภาคกลาง การขยายเศรษฐกิจยังกระจุกตัวในเขตเมือง เกษตรกรขาดแคลนปัจจัยบำรุงพืชเกษตร ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในประเทศ

นางเสาวณีย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้ทำการสำรวจธุรกิจภาคบริการ พบว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ยังมีมุมมองไม่เปลี่ยนแปลงในแง่ต่างๆ เช่น ยอดขาย การลงทุน การกู้ยืมเพิ่ม แต่มุมมองต่อยอดให้บริการและค่าตอบแทนต่ออนาคตคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าดัชนีภาคบริการดีขึ้น อยู่ที่ 52.6 และสูงสุดรอบ 4 เดือนนับจากที่ได้ทำสำรวจ ทั้งนี้ ปัจจัยบวกต่อการดำเนินกิจการ คือ การยกเว้นค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์การทำธุรกรรม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(เอ็มเอ็มอีแบงก์) มีมาตรการพักชำระหนี้ที่ประสบภัย คงภาษีมูลค่าเพิ่มที่7% นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐบาล และเดือนสิงหาคมจำนวนวันหยุดมากดีต่อการท่องเที่ยวและใช้จ่ายเพิ่ม ขณะที่ปัจจัยลบต่อกิจการ คือ การแข่งขันภาคธุรกิจรุนแรงมากขึ้น ผู้ประกอบการมองว่าเศรษฐกิจในประเทศยังไม่น่าพอใจและกระจายไม่ทั่วถึง การขึ้นราคาน้ำมันกระทบต่อการขนส่ง ราคาวัตถุดิบที่ยังคงเพิ่มขึ้น และสถานการณ์ทางการเมือง

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าจากเดือนกันยายนจะดีขึ้น หลังจากโรดแมปการเลือกตั้งชัดเจนขึ้น และสถานการณ์เศรษฐกิจท้องถิ่นมีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงนักลงทุนต่างชาติส่งสัญญาณเข้าลงทุนในไทยมากขึ้น ทั้งจากจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ซึ่งล่าสุดภาคเอกชนสหรัฐฯ จะนำคณะนักลงทุนและผู้บริหารระดับสูง มาเยือนประเทศไทย และจัดสัมมนาเรื่องเพิ่มโอกาสการค้าและลงทุนในไทย รวมถึงลงนามร่วมกับนักธุรกิจไทย ในวันที่ 24 กันยายน ที่โรงแรมดุสิตธานี คาดมีนักธุรกิจสหรัฐฯและไทยร่วมงาน 300-400 ราย และในวันที่ 25 กันยายน นักลงทุนสหรัฐฯประมาณ 50 รายจะเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ทำให้ขณะนี้ภาคเอกชน 3 ฝ่ายหรือ กกร. กำลังทบทวนตัวเลขและเพิ่มประกาศตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้ใหม่จากเดิมตั้งไว้ 4.5%

นายกลินท์ กล่าวถึงผลกระทบกรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนรอบใหม่ ที่จะมีการปรับเพิ่มภาษีนำเข้ารอบใหม่ในเดือนกันยายนนี้ว่า เบื้องต้นเห็นว่าจะไม่กระทบต่อส่งออกของไทย ตรงกันข้ามมองว่าจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย และการลงทุนเพิ่มในอนาคตจากการย้ายฐานการผลิตของสหรัฐและจีนมาไทย เพื่อส่งออกต่อไป ซึ่งดูจากการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาหลังสหรัฐและจีนปรับเพิ่มภาษีนำเข้าระหว่างกัน ก็พบว่าการส่งออกไทยยังสูงขึ้น และน่าจะได้อานิสงส์ต่อการไทยมากกว่าผลเสีย