สรุปข่าวในประเทศ : “รมช.เกษตรฯ” ยันแค่ลือ-ถูกปรับพ้น ครม./จับสาวแจกเสื้อ “สหพันธรัฐไท”/”บิ๊กตู่” ป้อง “เฌอปราง”

“รมช.เกษตรฯ” ยันแค่ลือ-ถูกปรับพ้น ครม. เผยจุดยืนค้านนำเข้า “สารเคมี”

เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวจะถูกปรับออกจากตำแหน่งว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียังระบุเลยว่าใครเป็นคนลือและปล่อยข่าว ขณะที่นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สอบถามว่าไปพบนายกฯ เรื่องนี้แล้วหรือ ซึ่งตนยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยนายกฯ ย้ำว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และการทำงานภายในกระทรวงก็ดีขึ้นไปมาก

นายวิวัฒน์กล่าวว่า ข่าวที่จะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้นมีการวิเคราะห์กันมากมาย แต่อย่าไปซีเรียส ส่วนที่มีข่าวว่าตนจะถูกปลดเพราะไปคัดค้านการนำเข้าสารเคมีเพื่อการเกษตร ทั้งนี้ การจะทำเกษตรอินทรีย์จำเป็นต้องคัดค้านสารเคมีทุกชนิดอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะสารเคมีอันตราย 3 ชนิด คือพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เพราะวิธีการทำเกษตรแบบอินทรีย์นั้นสามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องสร้างความเข้าใจให้เกษตรกร ซึ่งถือเป็นเรื่องยาก และน่าหนักใจที่สุด จึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพราะหน้าที่ของตนคือการพาเกษตรกรออกจากหนี้สิน

จับสาวมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แจกเสื้อ “สหพันธรัฐไท”-แบ่งแยกปกครอง

เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่กองบังคับการปราบปราม พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. นำตัวนางวรรณภา (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในข้อหา “อั้งยี่” มาส่งมอบให้ พ.ต.ท.เสวก บุญจันทร์ รอง ผกก. (สอบสวน) กก.1 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนตามกฎหมาย หลังจากที่เมื่อวันที่ 6 กันยายน ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวนางวรรณภาพร้อมเสื้อยืดโปโลสีดำที่มีแถบป้ายสีขาวแดงที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์แบ่งแยกการปกครอง “สหพันธรัฐไท” บริเวณหน้าอกจำนวนหนึ่ง ที่บริเวณห้องพักย่านสมุทรปราการ โดยนางวรรณภากล่าวด้วยสีหน้าซึมเศร้าว่า “ไม่รู้ว่าเสื้อที่รับมานั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แค่ไปรับเสื้อมาเท่านั้น”

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้สืบทราบว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มต่อต้านรัฐประหารได้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งสหพันธรัฐไท มีฐานที่มั่นอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีลุงสนามหลวงเป็นแกนนำในการจัดตั้ง แบ่งหน้าที่กันเป็นขั้นตอน ส่วนเสื้อนั้นเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ มีการผลิตขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนนำเข้ามาแจกจ่ายให้กับกลุ่มสมาชิกที่มีแนวคิดเดียวกันสวมใส่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า มารดาของนางวรรณภาอยู่กับกลุ่มแกนนำสหพันธรัฐไท ซึ่งพบข้อมูลว่ามีการติดต่อซึ่งกันและกันให้มารับเสื้อเพื่อมาแจกจ่าย อีกทั้งพบว่านางวรรณภามีหน้าที่รวบรวมจัดหามวลชนในพื้นที่สมุทรปราการอีกหน้าที่หนึ่ง โดยก่อนจับกุมพบว่า นางวรรณภามีส่วนเกี่ยวข้องทำหน้าที่เป็นผู้ลักลอบนำเสื้อดังกล่าวจำนวน 400 ตัว จากตะเข็บชายแดนมาแจกจ่ายให้สมาชิกในไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจึงได้ทำการจับกุม

ทั้งนี้ นางวรรณภา อายุ 30 ปี พื้นเพเป็นคนจังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง หรือวินมอเตอร์ไซค์รับส่งผู้โดยสารบริเวณย่านสำโรง โดยมีบุตรชาย 2 คน อายุ 14 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และอายุ 9 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยทั้งสามคนอาศัยร่วมกับแฟนใหม่ของนางวรรณภา ในห้องเช่าย่านสำโรง หลังถูกจับกุม กรรมการสิทธิมนุษยชนได้เข้ามาช่วยดูแล เพื่อไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

“บิ๊กตู่” ป้อง “เฌอปราง” สงสารถูกโจมตีเป็นเครื่องมือรัฐบาล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน ถึงกรณีการวิจารณ์ “เฌอปราง” นักร้องสาววง BNK48 เป็นเครื่องมือรับใช้รัฐบาล หลังรับเป็นพิธีกรรายการเดินหน้าประเทศไทย ว่าสงสารเด็ก การที่ทุกคนมาช่วยกันทำความดีให้ประเทศ เสียหายตรงไหน และตนก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรจากดาราพวกนี้ เขาไม่ได้จะเอาเงินเอาทองมาให้ หรือตนจะไปทำให้เขามีรายได้ดีขึ้นก็ไม่ใช่ เราบอกมาตลอดว่าต้องการคนรุ่นใหม่ ซึ่งมาได้หลายอย่าง จะมาเป็นรัฐบาล เป็นนายกฯ เป็นอะไรก็ได้เชิญเถอะ ถ้าเลือกตั้งมาได้ก็เป็นไป แต่คนที่ไม่ได้เข้าสู่การเมือง เขาก็ต้องมาสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ปัญหา และการดำเนินนโยบายทางการเมืองต่อไป วันนี้เขาเพียงแต่มาเป็นเหมือนโฆษกให้รัฐบาลโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

“นั่นคือความผิดหรือ การทำความดีมันผิดตรงไหน สงสารน้องเฌอปรางและอีกหลายคนก็โดนหมด เพราะถูกมองว่ามาเอื้อประโยชน์ ซึ่งผมไปเอื้อประโยชน์ตรงไหน หรือบอกว่าเป็นการไปโหนกระแส แล้วมันกระแสใคร กระแสรัฐบาลก็แรงอยู่แล้ววันนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว


ครม.เห็นชอบเงินอุดหนุน 1.2 พันล้าน กองทุนเสมอภาคทางการศึกษา

เมื่อวันที่ 11 กันยายน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการขอรับจัดสรรทุนประเดิม และเงินอุดหนุนให้กับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ปีงบประมาณ 2561 แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่ได้เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของครูอาจารย์ จำนวน 1,222.2 ล้านบาท

ทั้งนี้ เงินอุดหนุนดังกล่าว ใช้ช่วยเหลือนักเรียนยากจน 6 แสนคนในสถานศึกษา 3 หมื่นแห่ง