“ธนาธร” เมินคสช.ยังไม่ปลดล็อก ลั่น 1 ตุลาคมนี้ ประกาศนโยบายพรรคอนาคตใหม่

นายธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.)  กล่าวถึงงานการเมืองหลังจากที่เมื่อวานนี้ ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาของส.ว.แล้วว่า วันที่ 1 ตุลาคมนี้ พรรคจะเริ่มเปิดแนวทางนโยบายในแต่ละด้าน แม้จะยังไม่ได้การรับรองการตัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการจาก กกต. หรือคสช.ยังไม่คลายหรือปลดล็อคทางการเมืองก็ตาม  สำหรับการกำหนดตัวผู้สมัครในทั้ง 350 เขตนั้น ยืนยันว่า อนค.ส่งครบทำเขตแน่ โดยจะให้การสรรหาผ่านกระบวนการๆไพรมารี่โหวตอย่างแท้จริง โดยขณะนี้บางจังหวัด ได้คนครบทุกเขตพื้นที่แล้ว  อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าจากนี้ไปการขับเคี่ยวทางการเมืองจะเริ่มเข้มข้นขึ้น การที่พรรคยังไม่เคยมีพื้นที่หรือฐานเสียงของเราเอง ย่อมเปิดแรงเสียดทานจากพรรคคู่แข่งและอำนาจรัฐที่ทุกวันนี้ยังคงตามคุกตามผู้สนับสนุนในพื้นที่ให้ไม่กล้าเข้าร่วมและแสดงตัว แต่ก็เชื่อว่าอุปสรรคเหล่านี้จะทำให้พรรคได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น

“เรายืนยันจะเป็นพรรคทางหลัก ไม่ใช่พรรคทางเลือก และเราจะพยายามจะลงพื้นที่ให้ครบ 77 จังหวัด ครบทั้ง 350 เขต เพื่อรับฟังปัญหาและนำมากำหนดเป็นแนวทางนโยบาย อย่างไรก็ตามพรรคยืนยันมุ่งปักธงความคิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นสำคัญ มากกว่าที่จะตั้งเป้าให้ได้ส.ส.เท่านั้นเท่านี้เช่นที่มีบางคนตั้งเป้าให้เรา แต่ก็ยอมรับว่าพรรคให้น้ำหนักกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยใช้สิทธิเลือกตั้งมาก่อน ซึ่งกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง คาดว่าจะมีถึง 7 ล้านคน นอกจากนั้นการหาสมาชิกเพื่อให้ทุกกลุ่มฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม การเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย และการระดมทุน ก็เป็นสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกันโดยในวันที่ 1 ตุลาคมพรรคก็จะเปิด “ออนไลน์สโตร์” คล้ายมินิอเมซอน เพื่อให้ผู้ต้องการร่วมสนับสนุนเข้ามาซื้อสินค้าเชิงสัญญลักษณ์ต่างๆของพรรคด้วย” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธรยังกล่าวถึงภาพโดยรวมจากการที่ลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความยากลำบากทางเศรษฐกิจมากขึ้นจากราคาสินค้าเกษตร 4 ตัวหลักตกต่ำ คือ ข้าว ยาง ปาล์มและมันสำปะหลัง โดยในระยะสั้นอาจยังจำเป็นต้องช่วยหนุนด้านราคา แต่ในระยะยาวต้องมีการปรับโครงสร้างให้เป็นเกษตรที่ก้าวหน้าโดยเน้นพัฒนาด้านเทคโนโลยี่มารองรับ นอกจากนั้นยังพบว่าท้องถิ่นยังมีศักยภาพอีกมากมายที่รอการปลดปล่อยให้พ้นจากการรวมศูนย์การบริหารจัดการโดยส่วนกลาง  สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจให้เกิดเป็นคลื่นลูกต่อไปตนเห็นว่าไม่อาจคาดหวังได้จากอีอีซีเพราะโครงการที่จะลงทุนในอีอีซีไม่ก่อให้เกิดซัพพลายเชน แต่เอื้อกับกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่มใน กทม.ขณะที่คนพื้นที่ต้องรับผลกระทบ แต่อุตสาหกรรมในยุคใหม่ควรยึดโยงกับทรัพยากรในประเทศและกระจายการเติบโตไปยังภูมิภาคต่างๆ อย่างแท้จริง

“ที่ผ่านมาการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นผ่านงบประมาณ ถูกเบรค ถูกลดอำนาจไปมากในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่รัฐบาลนี้จะดูเหมือนคืนอำนาจให้มากขึ้น แต่กลับกำหนดให้หมดแล้วว่าต้องถิ่นจะต้องใช้ทำอะไร ทั้งยังถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากสตง. เพราะฉะนั้น การเลือกผู้ว่าฯโดยตรงก็เป็นเพียงขาเดียวที่ไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้เพราะไปสั่งคนของกระทรวงต่างๆที่อยู่ในพื้นที่ไม่ได้ เราจึงมุ่งนำเสนอการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ รวมทั้งลบล้างผลพวงของรัฐบาลจากการรัฐประหาร” นายธนาธร กล่าวอีก