โดยจุดแรกเข้าตรวจค้นบริเวณสถานที่ตั้งของโรงแรมรังเย็นรีสอร์ท ซึ่งเป็นที่ดินครอบครองของบริษัท ซี.พี.เค.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และได้ถูกกรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จำนวน 19ไ ร่ 2 งาน 03 ตารางวา และจากนั้นได้เข้าไปบ้านชัยชนะ กลางยอดเขาสูง ซึ่งเป็นบ้านพักส่วนตัวของนายเปรมชัย กรรณสูต ซึ่งเป็นบ้านพักหรูจำนวน 2 หลัง และบ้านพักคนงานจำนวน 1 หลัง พบว่ายังมีคนงานอาศัยอยู่ พบหลักฐานการจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน

ล่าสุดวันที่ 5 กันยายน นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผอ.สำนักป้องกันรักษาและคุมคุมไฟป่า กรมป่าไม้ในฐานะหัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร กล่าวว่า ที่ผ่านมากรณีการตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่า อ.ภูเรือ จ.เลย ของบริษัท ซี.พี.เคอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งมีชื่อ นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารนั้นกรมป่าไม้ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีดังกล่าว โดยพยายามเร่งรัดและติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีบุกรุกป่าท้องที่อำเภอภูเรือ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่าย ปกครอง ตำรวจ ทหาร กรมที่ดินและป่าไม้ จนกระทั่งกรมที่ดินตรวจสอบพบ การออกเอกสารสิทธิ์ของที่ดินออกโดยไม่ชอบด้วยกฏหมายและมีคำทางและมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดโรงแรมรีสอร์ทรังเย็นในที่สุด หลังจากนี้กรมป่าไม้จำต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีพร้อมฟ้องขับไล่และขอให้ศาลมีคำสั่งหรือถอนโครงสร้างอาคารทั้งหมด

นายชีวะภาพกล่าวอีกว่า กรมป่าไม้จะแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัท ซี.พี.เค.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ครองครองรังเย็นรีสอร์ท โดยจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ที่ได้บุกรุกพื้นที่น้ำชั้น 1 และ 2 ทั้งหมด 6,227 ไร่ ที่บริษัท ซี.พี.เค.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ครอบครองและเก็บผลประโยชน์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 โดยทางกรมป่าไม้คิดมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยไร่ละ 1 แสนบาท รวมมูลค่ามากว่า 600 ล้านบาท แม้ว่าทางบริษัท ซี.พี.เค.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ขอยื่นเรื่องขอใช้ประโยชน์การเก็บผลผลิตแมคคาเดเมียที่ปลูกไว้ และในส่วนของโรงแรมรังเย็นรีสอร์ท ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาของฝ่ายกฎหมายของกรมป่าไม้

“ตามความเห็นเห็นของตนไม่น่าจะอนุญาต ทั้งนี้เพราะมีการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน และเมื่อวานหลังจากตรวจสอบยังพบอีกว่า ยังได้มีการถือครองที่ดินเพิ่มเติมในพื้นที่รอบนอกที่มีการออกเอกสารสิทธิอีก จึงได้ตรวจยึดเพิ่มอีก 249 ไร่ และจากการตรวจสอบพบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ และพบว่าคดียังไม่หมดอายุความ และเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ที่ออกเอกสารสิทธิได้หลบหนีกบดานไปยัง สปป.ลาว และหลังจากนี้กรมป่าไม้จะร่วมกับ DSI ตรวจสอบพื้นที่ที่ถูกบุกรุกจริงนั้นมีจำนวนเท่าไร ซึ่งเบื้องต้นพื้นที่ที่มีการบุกรุกน่าจะประมาณ 13,000 กว่าไร่” นายชีวะภาพกล่าว