ศาลอุทธรณ์ พิพากษา พลิก กรมอุทยานชนะคดี ชวน ภูเก้าล้วน ฟ้องรุกเกาะปอดะ

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า กรณีผลการพิจารณาของศาลแพ่งอุทธรณ์ภาค 8 ที่ศาลจังหวัดกระบี่ โดยมีนายชวน ภูเก้าล้วน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติฯ กรณีพิพาทบริเวณเกาะปอดะ ม.2 ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ให้ที่ดินเป็นของนายชวน ภูเก้าล้วน และให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ออกจากพื้นที่นั้น ตนจึงแต่งตั้งทีมกฏหมายและผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยงาน เพื่อเป็นคณะทำงานประสานงานกับพนักงานอัยการจังหวัดกระบี่เพื่อทำสำนวนอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยการหาพยานหลักฐานที่เป็นประจักษ์พยาน ยืนยันตามหลักฐานเพิ่มเติม และมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายและแปลภาพถ่ายที่เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

นายธัญญา กล่าวต่อว่า คณะทำงาน ได้แก่ 1. นายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ประธานคณะทำงาน 2. นายเพ็ญวิชญ์ ศรีชัย ผอ.กองนิติกร กรมอุทยานแห่งชาติ 3. นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ชุดพญาเสือและทีมงาน 4. นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
5 .ทีมศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร 6. นายชลธร ชานาญคิด ผอ.ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากร สำนักอุทยานแห่งชาติ สำหรับทีมศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร ต้องพิสูจน์ในเรื่องของอายุมะพร้าวที่มีอยู่ในแปลงคดีว่ามีอายุตามจริง

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 เวลา 09.00 น. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มอบอำนาจให้นายบุญแนม ช่วยระดม เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ (สบอ.) ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) และนายอดิศักดิ์ ช่วยระดม นิติกรปฏิบัติการ สบอ.ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ในคดีหมายเลขที่พ. 115/2558 คดีหมายเลขแดงที่พ. 525/2560 ระหว่าง นายชวน ภูเก้าล้วน โจทก์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน จำเลย พร้อมทั้งคัดสำเนาคำพิพากษานั้น

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า ศาลแพ่งอุทธรณ์ภาค 8 ได้พิจารณาคดี โดยได้อ้างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 11431- 11432/2554 เมื่อปี พ.ศ. 2556 สรุปได้ว่า ในเมื่อ ส.ค. 1 เลขที่ 2 ที่ฝ่ายเอกชนอ้างว่าอยู่ติดกันกับเลขที่ 1 ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วว่า ส.ค.1 เลขที่ 1 และเลขที่ 2 เนื้อที่รวมกัน 121 ไร่เศษ ส่วนพื้นที่พิพาทมีเพียง 77 ไร่เศษ อยู่บนเกาะปอดะ ซึ่งได้พิพากษาให้เพิกถอน น.ส. 3 ก ที่ออกมาจาก ส.ค. 1 เลขที่ 1 และเลขที่ 2 ทั้งหมดแล้ว ดังนั้น ส.ค.เลขที่ 1 ที่นำมากล่าวอ้างในคดีนี้ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง และจากการพิสูจน์ภาพถ่ายทางอากาศ เมื่อปี 2510 ก็ไม่พบร่องรอยการทำประโยชน์ พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ป่า ไม้ พ.ศ.2484 และเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ตามมาตรา 13004 แห่งประมวลกฏหมายแพ่ง จึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้นายชวน ภูเก้าล้วน(โจทก์) ชำระค่าทนาย 500,000 บาท และ ชำระค่าธรรมเนียม 400,000 บาท