‘ธนาธร’ เยือน ม.ขอนแก่น ร่วมบรรยายพิเศษ ชวนนักศึกษาใช้สิทธิ์กำหนดอนาคตประเทศ

วันที่ 9 สิงหาคม 2561 นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เชิญนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไปบรรยายพิเศษในหัวข้อ “นโยบายสาธารณะกับการพัฒนาสังคมไทย” โดยผู้เข้าร่วมฟังบรรยาย มีทั้งนักศึกษาและประชาชนทั่วไป ทั้งในขอนแก่นและจากหลากหลายจังหวัด ที่เดินทางมาเพื่อรับฟังวิสัยทัศน์ของว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่โดยเฉพาะ

นายธนาธรกล่าวว่าที่ผ่านมา นโยบายที่มีการแข่งขันกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ก็คือจำนำข้าวกับประกันราคาข้าว ที่ขับเคียวกันในหลายรัฐบาล นอกจากนั้นคือการเสนอนโยบายรัฐสวัสดิการ เพื่อเป็น safety net ให้ประชาชน หน้าที่ของพรรคการเมืองคือการเสนอนโยบาย ส่วนหน้าที่ของประชาชนคือการเลือกพรรคที่มีนโยบายตรงใจมากที่สุด ความสัมพันธ์เช่นนี้ถือเป็นหน้าที่ของนโยบายสาธารณะในประเทศไทย โดยความสำคัญคือต้องดูว่าในแต่ละรัฐบาล แต่ละพรรคการเมือง ให้ความสำคัญกับคนกลุ่มใด เรื่องอะไร ซึ่งการออกแบบนโยบายตามการจัดลำดับความสำคัญนั้นๆ เท่ากับการออกแบบอนาคตของประเทศว่าจะเดินหน้าไปในทิศทางใด

นายธนาธรยกตัวอย่างการจัดสรรทรัพยากรของประเทศผ่านการชี้ให้เห็นถึงการจัดสรรงบสวัสดิการสุขภาพถ้วนหน้า หรืองบบัตรทอง เปรียบเทียบกับงบกระทรวงกลาโหม ก่อนรัฐประหาร 2549 งบบัตรทองสูงกว่างบทหารมาก แสดงว่าเกิดการเลือกอย่างมีนัยสำคัญโดยพรรคการเมืองว่าจะเอางบไปใช้ในทางไหน เพื่อใคร แต่หลังรัฐประหาร ก็เกิดความเปลี่ยนแปลง จนงบทหารโตกว่างบบัตรทองอีกครั้งในการรัฐประหารปี 2557 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปรัชญาของนโยบายสาธารณะ คือการต้องมีจุดยืน อุดมการณ์ที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินไปเพื่ออะไร ให้ความสำคัญกับอะไร

นายธนาธรยังยกตัวอย่างด้วยว่าถ้าตัดงบกลาโหมให้กลับมาเท่าก่อนรัฐประหาร 2549 ก็จะได้งบประมาณกลับมาปีละ 68,300 ล้านบาท ซึ่งถ้านำเงินก้อนนี้มาเพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา จาก 600 บาท เป็น 1,200 บาทต่อเดือน ให้คนชรา 8.5 ล้านคนทั่วประเทศ ก็ใช้เงินเพียง 61,200 ล้านบาทเท่านั้น หรือถ้ายกเลิกการให้สิทธิพิเศษทางภาษี BOI ที่ให้กับกลุ่มทุนใหญ่ จะได้งบประมาณเพิ่ม 240,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถ้านำเงินจำนวนนี้ไปใช้ในการพัฒนาระบบสวัสดิการสาธารณสุข ก็จะสามารถทำให้ประชาชนทั้งประเทศได้เข้าถึงสวัสดิการสาธารณสุขในระดับเดียวกับราชการ โดยใช้เงินเพียง 234,000 ล้านบาท

นายธนาธรย้ำว่าการทำนโยบายสาธารณะยังเป็นการเปิดพรมแดนใหม่ๆ เป็นกลไกในการกำหนดอนาคตของประเทศ เช่นกรณีประเทศไทย ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ภาคการเกษตรของไทยโตน้อยกว่าภาคอื่นๆ โดยเฉพาะ 10 ปีที่ผ่านมา จีดีพีจากภาคการเกษตรไม่ได้เติบโตขึ้นเลย แรงงานในภาคการเกษตรก็น้อยกว่าภาคอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่ภาคการเกษตรเป็นแหล่งงานอันดับหนึ่งของประเทศ มากถึง 32.3% เป็นเหตุให้ไทยตกอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง ไม่มีทางกลายเป็นประเทศร่ำรวยได้ เพราะประชากรส่วนใหญ่อยู่ในตำแหน่งงานที่รายได้น้อย โดยนายธนาธรเสนอว่าการจะทำให้ไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้ ต้องอาศัยการยกระดับเกษตรให้กลายเป็นอุตสาหกรรม แปรรูป ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน

“แต่ที่สำคัญไปกว่าการจัดลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณ เป้าหมายในการใช้ ในการจัดสรรทรัพยากร ต้องดูว่าใครเป็นเจ้าของอำนาจในการจัดสรรทรัพยากร เพื่อจะได้ใช้ทรัพยากรได้อย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด นำมาซึ่งความสำคัญของการกระจายอำนาจ เพราะรัฐราชการรวมศูนย์อุ้ยอ้ายและไม่สามารถตอบโจทย์ที่หลากหลายของท้องถิ่นได้” นายธนาธร กล่าว

โดยนายธนาธรได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเมืองซุก ในสวิตเซอร์แลนด์ กับคดีเบี้ยกุดชุมของไทย นายกเทศมนตรีเมืองซุก ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่มีประชากรเพียงมีวิสัยทัศน์ว่าอีกไม่นาน เงินอิเล็กทรอนิกส์จะมาแทนที่สกุลเงินกระแสหลัก จึงประกาศนโยบายให้การทำธุรกรรม จ่ายภาษีต่างๆให้เทศบาล ใช้บิทคอยน์หรืออีเธอเรียมได้ ทำให้ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นเมืองหลวงบิทคอยน์โลก ในขณะที่ไทย มีการใช้เบี้ยกุดชุมในปี 2540 เพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพสูง มีลักษณะเป็นเงินชุมชน ใช้แลกเปลี่นระหว่างคนในพื้นที่ ปรากฏว่าผิดกฎหมาย กระทรวงการคลังไม่ยอมให้ใช้

“เช่นเดียวกับเมืองคาโทวิช ในโปแลนด์ กลายเป็นเมืองที่รกร้างเพราะเดิมทำเหมืองแร่ แล้วแร่หมด ปรากฏว่าเทศบาลเมืองมีวิสัยทัศน์ว่าอีสปอร์ตกำลังมาแรง จึงสร้างสเตเดียมขนาดใหญ่ให้เอกชนมาจัดแข่งอีสปอร์ต ทำให้ตอนนี้คาโตวิชกลายเป็นเมืองหลวงของอีสปอร์ตโลก” นายธนาธร กล่าวและว่า ในไทย มีตัวอย่างความพยายามที่จะใช้วิสัยทัศน์ของท้องถิ่นพัฒนาเมือง เช่นพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี ที่บริหารจัดการโดยเทศบาลนครอุดรธานี เล่าประวัติศาสตร์แบบมองจากสายตาท้องถิ่น เรื่อง GI เมียเช่า ไม่ใช่แค่การบอกเล่าประวัติศาสตร์กระแสหลักแบบที่คนกรุงเทพฯมอง

นอกจากนี้ นายธนาธรยังกล่าวว่า เช่นเดียวกับขอนแก่น ที่พยายามสร้างระบบคมนาคมที่ดีในเมือง ทำระบบรถไฟรางเบา โดยอาศัยความร่วมมือจาก 5 เทศบาล รวมตัวในนามบริษัทขอนแก่นพัฒนาเมือง แต่กลับใช้เวลาหลายปีในการขออนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคม ใช้เวลาถึง 5 ปีเพียงเพื่อขอใบอนุญาตจากหน่วยงานราชการส่วนกลาง ซึ่งนายธนาธรสรุปว่าการพัฒนาประเทศ ออกนโยบายสาธารณะที่ตรงกับความต้องการของท้องถิ่น ปลดปล่อยศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ของประเทศไทย ไม่มีทางเกิดได้หากไม่มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นบริหารจัดการตนเอง

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการบรรยาย มีการเปิดให้นักศึกษาถามคำถาม ซึ่งมีคำถามว่าจะทำอย่างไรให้เข้าถึงนโยบายสาธารณะ ในเมื่อท้องยังหิว คุณภาพชีวิตยังไม่ดี หนี้สินยังท่วมตัว จะเริ่มจากตรงไหนก่อน ซึ่งนายธนาธรตอบสั้นๆว่า “ไปเลือกตั้ง”