‘ไอเอ็มเอฟ’ เตือน สงครามการค้าเสี่ยงทำอัตราเติบโตศก.หายครึ่งเปอร์เซ็นต์

(FILES) In this file photo taken on April 17, 2018 Maurice Obstfeld, Economic Counsellor and Director of the Research Department at the IMF, holds a press briefing on the World Economic Outlook during the 2018 Spring Meetings of the International Monetary Fund and World Bank Group at IMF Headquarters in Washington, DC. The global economy is still expected to grow at a solid pace this year, but worsening trade confrontations pose serious risks to the outlook, the International Monetary Fund said July 16, 2018. The IMF's updated World Economic Outlook (WEO) forecast global growth of 3.9 percent this year and next, despite sharp downgrades to estimates for Germany, France and Japan."But the risk that current trade tensions escalate further -- with adverse effects on confidence, asset prices, and investment -- is the greatest near-term threat to global growth," IMF Chief Economist Maurice Obstfeld said. / AFP PHOTO / SAUL LOEB

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมว่า เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะยังเติบโตในระดับความเร็วที่แข็งแกร่งในปีนี้ แต่การเผชิญหน้าทางการค้าที่เลวร้ายมากขึ้นเป็นการสร้างความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ

รายงานภาพรวมทางเศรษฐกิจ (เวิลด์ อีโคโนมิก เอาต์ลุก-ดับเบิลยูอีโอ) ฉบับปรับปรุงทำนายว่า เศรษฐกิจโลกจะโต 3.9% ในปีนี้และปีหน้า แม้ว่าจะลดการประเมินสำหรับเยอรมนี ฝรั่งเศส และญี่ปุ่นลงอย่างมาก

เศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงโต 2.9% ในปีนี้ และประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังคงอยู่ที่ 6.6% โดยคาดว่าผลกระทบจากกำแพงภาษีหลายหมื่นล้านดอลลาร์ต่อการส่งออกที่ทั้ง 2 ประเทศกำหนดขึ้นต่อสินค้าของอีกฝ่าย จนถึงตอนนี้จะส่งผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในระยะสั้น

“แต่ความเสี่ยงว่าความตึงเครียดทางการค้าจะยกระดับขึ้นอีก โดยส่งผลกระทบด้านลบต่อความเชื่อมั่น มูลค่าสินทรัพย์ และการลงทุน ถือเป็นภัยคุกคามในระยะสั้นที่ใหญ่หลวงที่สุดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก” นายมอริส ออบสต์เฟลด์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟกล่าว

ไอเอ็มเอฟยังเตือนด้วยว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอาจหายไป 0.5% ภายในปี 2563 หากกำแพงภาษีทั้งหมดมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจะส่งผลออกมาอย่างไรยังคงยากที่จะบอกได้ในขณะนี้