นายกฯพบภาคเอกชน-นักธุรกิจไทยในศรีลังกา แนะลงทุนรัฐทมิฬที่ยังพัฒนาไม่มาก ชี้ควรเร่งดำเนินการก่อนไทยจัดการเลือกตั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และคณะ เดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา อย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 12 – 13 กรกฎาคม ว่า วันที่ 12 กรกฎาคม ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าเวลาของไทย 1.30 ชั่วโมง พล.อ.ประยุทธ์และคณะ หารือกับภาคเอกชนไทยในศรีลังกา ที่ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา โดยนายกรัฐมนตรีและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนไทยในศรีลังกา ได้แก่ บริษัท น้ำตาล มิตรผล จำกัด บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย ไลอ้อน เมนทารี จำกัด บริษัท แอ็ลไลด์ เม็ททัลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด บริษัท เอเชี่ยน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีแวลู จำกัด (มหาชน) บริษัท SCG Trading จำกัด บริษัท Sutech Sugar Industry (Pvt) จำกัด และบริษัท Minor International PCL ได้หารือเรื่องการดำเนินธุรกิจการค้าในศรีลังกา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับโอกาสใน การค้าและการลงทุน ประเด็นปัญหาและ อุปสรรค รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะจากภาค เอกชนไทยต่อรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความสำคัญของการเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างไทยและศรีลังกา โดยมีแผนจะเชื่อมไทยและศรีลังกาผ่านกรอบความร่วมมือ ACMECS การเชื่อมท่าเรือโคลัมโบกับ ระนองของไทย ทั้งนี้รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศต่างๆ แล้ว เมื่อมีความเป็นไปได้ แล้วจะส่งต่อให้กระทรวงรับไปดำเนินการการต่อ โดยการเยือนครั้งนี้เป็นโอกาสใน การค้าและการลงทุนของไทยและศรีลังกา จึงขอให้ภาคเอกชนไทยเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาลและขอให้ร่วมมือกันเพื่อสร้างผล ประโยชน์ให้เกิดแก่ทุกฝ่าย ขณะที่ภาคเอกชนได้กล่าวถึงศักยภาพระหว่างไทยกับศรีลังกาที่จะพัฒนาไปด้วยกันอีกมาก ทั้งการ ค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เป็นต้น

นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา อย่างเป็นทางการ ที่โรงแรมแชงกรีลา โดย นางจุฬามณี ชาติสุวรรณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐประชาธิปไตยศรีลังกา รายงานถึงความเป็นมาและความสำคัญของศรีลังกากับไทย ว่า อยู่ในระดับดีเยี่ยมเป็นพื้นฐานที่ดีที่จะขยายตลาดต่อไปในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีเฉพาะจีนที่เข้ามาลงทุนในศรีลังกาจำนวนมาก เนื่องจากศรีลังกาไม่เชื่อมั่นในชาติตะวันตก ขณะที่ปัญหาหนี้สาธารณะก็มีจำนวนมาก มีหนี้สินมหาศาลจากรัฐบาลที่แล้วก่อขึ้น ทำให้ เศรษฐกิจของศรีลังกาไม่เติบโตเท่าที่ควร ดังนั้นศรีลังกาจึงให้ความสำคัญกับการลงทุนของต่างชาติอย่างมากโดยเฉพาะประเทศไทยที่ศรีลังกาอยากให้เข้ามาลงทุน แต่นักธุรกิจไทยยังมองว่า ศรีลังกาเป็นตลาดเล็กจึงไม่ให้ความสนใจลงทุนในศรีลังกามากนัก

อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรียังแนะนำให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในเขตภาคเหนือในส่วนของรัฐทมิฬ ซึ่งยังไม่มีการพัฒนามากนักและควรเร่งลงทุนในช่วงเวลานี้ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปของไทยที่จะเกิดขึ้น เพราะเป็นช่วงเวลาที่ศรีลังกามีความเชื่อมั่นประเทศไทยมากที่สุด