‘แอมเนสตี้’จี้นายกฯ’เทเรซา เมย์’ประณาม’บิ๊กตู่’ปล่อยประหารชีวิตนักโทษ

แอมเนสตี้ออกแถลงการณ์ “จี้” “เทเรซา เมย์ “ วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ต่อปัญหาสิทธิมนุษยชนของไทย สี่ปีหลังรัฐประหาร รัฐบาลทหารไทยได้ออกมาตรการควบคุมเข้มงวดมากขึ้นในประเทศ ออกกฎหมายเพื่อขัดขวางผู้วิพากษ์วิจารณ์ และขู่ให้ประชาชนหวาดกลัวจนต้องยอมจำนน

วันที่ 21 มิ.ย. แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกแถลงการณ์เนื่องในโอกาสการเดินทางมาเยือนของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องเทเรซา เมย์ให้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่ถดถอยลงในประเทศไทย การจำกัดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยนับแต่รัฐประหารปี 2557 ซึ่งเป็นเหตุให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าสู่อำนาจ

แอมเนสตี้ ระบุว่า การพบปะกันเป็นโอกาสที่ดีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ ซึ่งส่งผลให้มีการควบคุมตัวและดำเนินคดีกับหลายร้อยคน โดยเรียกร้องนายกฯเมย์ให้ประณามการประหารชีวิตเป็นครั้งแรกของไทยนับแต่ปี 2552 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2561

เคท อัลเลน ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหราชอาณาจักร กล่าวว่า เทเรซา เมย์ ต้องไม่เกรงใจและวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา เมื่อประณามสถานการณ์ที่เลวร้ายด้านสิทธิมนุษยชนในไทย ประเทศไทยมีการประหารชีวิตเป็นครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรษ เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความถดถอยด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศ

“สี่ปีหลังรัฐประหาร รัฐบาลทหารไทยได้ออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดมากขึ้นในประเทศ ออกกฎหมายเพื่อขัดขวางผู้วิพากษ์วิจารณ์ และขู่ให้ประชาชนหวาดกลัวจนต้องยอมจำนน การประชุมระดับสูงเช่นนี้ ไม่ควรเป็นเพียงการเจรจาค้าขายด้วยการเซ็นเช็คและทำใบสั่งซื้อ หรือเพียงเพื่อหาความตกลงทางการค้ามาชดเชยผลกระทบด้านธุรกิจภายหลังการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ อังกฤษต้องไม่ยอมแลกเปลี่ยนความสามารถในการวิพากษ์วิจารณ์ต่อการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้าย กับผลประโยชน์ใดๆ”

เคท อัลเลน กล่าวว่า เทเรซา เมย์ อย่าพูดเพียงว่า เธอได้แสดงข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ควรให้รายละเอียดเพิ่มเติมอย่างชัดเจน ทั้งท่าทีของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อใช้เป็นหลักฐานกดดันให้เขาต้องรับผิดชอบต่อพันธกิจที่แสดงไว้ให้ได้

“นักกิจกรรม ผู้สื่อข่าว นักการเมือง นักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ต่างถูกจับกุม ควบคุมตัวและดำเนินคดีอย่างสม่ำเสมอ จากการแสดงความเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลอย่างสงบ ประเทศไทยมีกฎหมาย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่เข้มงวด ซึ่งเอาผิดกับความเห็นใดๆ ที่ถูกมองว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ กฎหมายเหล่านี้ได้ถูกใช้เพื่อดำเนินคดีและคุมขังผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทางการไทยยังคงใช้มาตรการควบคุมจำกัดจนเกินกว่าเหตุต่อเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมอย่างสงบ และการสมาคม”

แถลงการณ์ยังระบุว่า มีการเพิ่มบทบาทของทหารในการบริหารงานยุติธรรม ซึ่งเห็นได้จากการให้อำนาจเจ้าพนักงานทหารในการจับกุมและควบคุมตัว และการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสิทธิที่จะมีอิสรภาพและความมั่นคงของบุคคลและสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม

แถลงการณ์ระบุว่าทางการไทยปฏิเสธที่จะยกเลิกคำสั่งห้ามจัดกิจกรรมทางการเมือง ก่อนการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในปี 2562 หลังจากรัฐประหาร มีการควบคุมตัวบุคคลหลายร้อยคนเพื่อให้เข้ารับ “การปรับทัศนคติ” ซึ่งเป็นการลงโทษเชิงบังคับรูปแบบหนึ่ง โดยมีเป้าหมายเป็นผู้ที่ถูกมองว่าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และพวกเขายังต้องยอมรับเงื่อนไขที่เข้มงวดเพื่อแลกกับการปล่อยตัวออกมา

“นับแต่เข้าสู่อำนาจ รัฐบาลทหารได้ปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออกอย่างสม่ำเสมอ การใช้กฎหมายที่ควบคุมจำกัด การออกกฎหมายและคำสั่งใหม่ ๆ ที่จำกัดการใช้สิทธิอย่างเข้มงวด”

แถลงการณ์ระบุว่าไทยได้ประหารชีวิตชายวัย 26 ปีที่ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยทารุณ นับเป็นการประหารชีวิตครั้งแรกตั้งแต่เดือน ส.ค. 2552 จากตัวเลขของกระทรวงยุติธรรมเมื่อเดือน มี.ค. 2561 ระบุว่า ไทยมีนักโทษประหารอยู่ 510 คน เป็นผู้หญิง 94 คน ในจำนวนนี้ 193 คนเป็นนักโทษเด็ดขาดที่ผ่านกระบวนการอุทธรณ์คดีหมดสิ้นแล้ว เชื่อว่ากว่าครึ่งหนึ่งของนักโทษเหล่านี้ต้องโทษประหารในคดียาเสพติด