3พรรค ‘พท.-ปชป.-อนค.’ เห็นตรงแก้รธน. ‘ไพบูลย์’ ชี้ต้องเดินตามกติกา ทนอีก 5 ปีแล้วจะชอบ

เสวนา “อนาคตประชาธิปไตยไทย : ข้ามพ้น กับดัก ความหวัง?” 3 พรรค “พท.-ปชป.-อนต.” เห็นตรงกันต้องแก้ รธน. ส่วน “ไพบูลย์” ชี้ ทางออกคือเดินตามกติกา-รธน.

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีงานเสวนาในหัวข้อ “อนาคตประชาธิปไตยไทย : ข้ามพ้น กับดัก ความหวัง?” โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและแกนนำเพื่อไทย (พท.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) โดยบรรยากาศในการเสวนาเป็นไปอย่างคึกคัก มีนักศึกษาและประชาชนเข้าร่วมการเสวนาจำนวนมาก และที่มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสังเกตการณ์ตลอดการเสวนา

นายจาตุรนต์กล่าวว่า สิ่งที่ยังเป็นปัญหาและกับดักในอนาคตคือการไม่มีความพยายามที่จะหาทางออก และหาทางแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเท่าเทียม ซึ่งไม่ใช่กับดักของนักการเมืองแล้ว แต่อนาคตในวันข้างหน้าจะเป็นกับดักของประเทศไทย และประชาธิปไตย อีกหน่อยสังคมไทยจะกลายเป็นสังคมที่ขาดผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้ คือ ขาด คสช.ไม่ได้ อีกหน่อยอาจจะมีการทำผิดแล้วไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย ฯลฯ กับดักต่อมาคือ กับดักที่จะทำให้เกิดเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้ง และเป็นข้ออ้างที่ทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต

นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า ตามกติกาที่เขียนขึ้นได้นำประเทศไทยย้อนกลับไป 30-50 ปีที่แล้ว ทำประเทศถอยหลังไปมาก ที่ผ่านมามีพัฒนาการที่ดี และส่วนที่เป็นปัญหา มีระบบป้องกันการทุจริต แต่ระบบดังกล่าวก็ถูกแทรกแซงโดย คสช. การใช้กติกาเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ยังไม่ถูกปลูกฝังและทำให้เกิดขึ้น การพัฒนาที่สำคัญที่ผ่านมาประชาชนให้ความสำคัญกับพรรคการเมือง ได้รู้จักเลือกพรรค และนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและประเทศชาติ ทั้งนี้ ในการเลือกตั้ง คสช.เข้ามาแทรกแซง ผลการเลือกตั้งที่จะออกมาอาจจะไม่สะท้อนความต้องการของประชาชน อุปสรรคที่สำคัญมากคือ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งมีรายละเอียดมาก แล้วรัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐบาลทำตามแผนปฏิรูปมิเช่นนั้นจะถูกตรวจสอบ และนำไปสู่การถูกถอดถอนในที่สุด การพัฒนาจึงเกิดได้ยากมาก หาก คสช.เข้ามาเป็นรัฐบาลก็เท่ากับได้วางแผนการบริการประเทศไว้แล้ว ซึ่งประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการวางแผน ดังนั้น เชื่อขนมกินได้เลยว่า ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน จะทำให้ประเทศไทยปรับตัวไปไม่ทันกับพัฒนาการ และภาระจะตกไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกพัฒนามาจะถูกกับดัก

นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า ตนหารือกับพรรคแบบไม่ได้ประชุมมาแล้วว่า ทางที่จะหลุดจากกับดักไม่ให้รุนแรงคือ 1.กำหนดวันเลือกตั้งโดยเร็ว ระบุวันมาเลย 2.คสช.งดใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้ง 3.ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน ให้นายกฯ และ ครม.ทั้งคณะลาออก ให้ปลัดกระทรวงต่างๆ มาทำหน้าที่ตามมาตรา 168 แล้วใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 169 มาห้ามไม่ให้ ครม.ทำอะไรบ้าง เช่น การใช้งบประมาณ ฯลฯ 4.ให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม 5.เพื่อป้องกันไม่ให้ คสช.สืบทอดอำนาจ พรรค พท.ยืนยันไม่สนับสนุนคนนอกเป็นนายกฯ และจุดมุ่งหมายคือการคัดค้าน ขัดขวาง  คสช.ที่จะสืบทอดอำนาจ 6.พรรคการเมืองต้องมีความมุ่งมั่น และตั้งใจที่จะแก้รัฐธรรมนูญ โดยจะต้องไม่ลืมเรื่องนี้เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาล พรรคการเมืองจะต้องประกาศเป็นนโยบายไว้เลย ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ถ้าประชาชนทั้งประเทศเข้าใจ และสนับสนุนอย่างจริงจังการแก้รัฐธรรมนูญจึงจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ เราจะเสนอให้แก้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ โดยจะชี้ให้เห็นว่าทั้ง 2 อย่างนี้เป็นปัญหาต่อการก้าวไปข้างหน้าของประเทศอย่างไร

ด้านนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งที่เราน่าจะคิดตรงกันคืออยากให้ประเทศไทยคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย 4 ปีที่ผ่านมาผู้มีอำนาจวางกับดักโดยการใช้วิธีจำกัดสิทธิเสรีภาพ เพื่อป้องกันความขัดแย้ง นี่คือสิ่งที่ตนถอดรหัสมาจากสิ่งที่นายจาตุรนต์พูด และเห็นด้วย ซึ่งแม้ปัจจุบันเราจะมีรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกที่จะใช้สำหรับการเลือกตั้งแล้ว แต่คำสั่งต่างๆของ คสช.กลับทำให้ไม่สามารถเดินไปตามกฎหมายต่างๆ ได้ ทั้งที่บอกว่ามีโรดแมป แต่การเดินตามตรงนี้ยังติดขัดด้วยคำสั่ง คสช. ต่อมาคือ กระบวนการเลือกตั้งที่จะทำให้ประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้ต้องเริ่มต้นอย่างเสรี และเป็นธรรม แต่คำถามเกิดขึ้นว่าเราจะสามารถจัดการเลือกตั้งที่เที่ยงธรรมได้จริงหรือ เพราะเคยมีคำสั่งปลด กกต.ไปแล้วครั้งหนึ่ง มีคำถามว่า กกต.ที่จะดำเนินการจัดการเลือกตั้งจะทำหน้าที่ได้อย่างเที่ยงธรรมมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ผู้มีอำนาจที่เคยประกาศตัวว่าจะเป็นกรรมการกลับลงมาเป็นผู้เล่นเสียเอง อีกอย่างคือ ส.ว. 250 คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะมีอำนาจเลือกผู้นำรัฐบาล สามารถใช้อำนาจสวนทางกับความต้องการของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง อีกกับดักคือ กติกาสูงสุดของประเทศในปัจจุบันยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตย มีบทบัญญัติอีกหลายบทที่ไม่สามารถนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตย ทั้งนี้ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทั่วโลก ถูกตั้งคำถามจากประชาชนเรื่องการมีส่วนร่วม ในการมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของประเทศโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ดังนั้น นักการเมือง พรรคการเมือง จะต้องเร่งกอบกู้ศรัทธาจากประชาชน

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า การย้อนอดีตไม่ว่าหยิบส่วนไหนมาก็เป็นปัญหาได้ทั้งสิ้น เราไม่ได้อยากกลับไปสู่ความวุ่นวาย แต่การไปโทษว่าเป็นเพราะการเลือกตั้ง หรือเป็นเพราะประชาธิปไตย แบบนั้นก็ไม่ใช่ เพราะไม่อย่างนั้น เราจะอยากกลับไปพฤษภาคม 35 หรือ เราอย่ามองด้านใดด้านเดียว แต่เราต้องเกี่ยวทุกสถานการณ์มาหาทางออกร่วมกัน ตนไม่ได้พูดถึงอนาคตใหม่ แต่พูดถึงอนาคตที่ใหม่กว่า ตนตั้งคุณค่าของประชาธิปไตยไว้ว่าเป็นระบบที่คนจะได้รับการเคารพศักดิ์ศรี และเสรีภาพ แม้อาจจะใช้เกินเลย หรือบางครั้งอาจจะตัดสินใจผิด ถ้าเราเน้นคุณค่า และรูปแบบตรงนี้ได้จึงจะเป็นประชาธิปไตย หากบอกว่าระบอบการเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้ง 4 วินาที แต่มันก็ยังนานกว่าการที่ไม่ใช่ระบอบการเลือกตั้ง และเราต้องรักษาสถาบันที่คอยตรวจสอบถ่วงดุล คนที่อาสาเข้ามาเลือกตั้งครั้งนี้หากมีข้อเสนอที่ดีกว่ายุทธศาสตร์ชาติ เสนอไปเถิด และต้องทำให้ได้ เพราะคุณได้รับอำนาจมาจากประชาชนแล้ว คุณต้องทำให้ได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรหรอก วันหนึ่งต้องมีการแก้ไข แต่หากเรากระโดดไปที่เรื่องนี้เลย ตนกลัวว่าเราจะเข้าไปติดกับดักเดิม คุณต้องบอกให้ได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาชีวิตที่ดีกว่าของประชาชนได้อย่างไร แล้วระดมพลังของคนในสังคมแล้วไปแก้ไข แต่ถ้าเราตั้งไว้ว่าจะต่อกร แตกหักกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตั้งแต่ต้นเกรงว่าเราจะก้าวเข้าไปติดกับดักเดิม

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ส.ส.ที่อยากแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ในสภาอย่างไรก็เกิน 376 เสียง ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่กติกาที่เขียนไว้ในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา การจะต้องทำประชามติอีก 2-3 ครั้ง จะทำให้ประชาชนไม่มากับเรา เพราะยังไม่มีหลักประกันให้ประชาชนว่า การแก้รัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่การแก้เพื่อตนเอง ทั้งนี้ ทางออกจากกับดัก เช่น 1.การปลดหรือเลิกคำสั่ง คสช. ควรทำให้เร็วที่สุด ตนยืนยันมาตลอดว่า การทำกิจกรรมต่างๆ ของพรรคการเมืองแล้วจะไปกระทบความมั่นคงตนมองไม่เห็นจริงๆ 2.คสช.ต้องทำให้เกิดความชัดเจน และความมั่นใจจริงๆ ว่าจะไม่มีการใช้อำนาจใดๆ ไปแทรกแซงการทำหน้าที่ของ กกต. 3.คสช.ต้องชัดเจนกับประชาชนว่าเจตนารมณ์ของท่านจะเอาอย่างไร ประกาศตัวมาให้ชัด แล้วแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ท่านต้องเท่าเทียมกับคนอื่น ถ้าท่านไม่เท่าเทียมอย่ามาพูดเรื่องธรรมาภิบาล หรือประชาธิปไตย และวุฒิสภาจะมาฝืนเสียงข้างมากในสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่ได้ 4.ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปสองพันกว่าหน้า มีการอ้างถึงยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งที่ยุทธศาสตร์ชาติยังไม่ประกาศเลย ไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหนอย่างไรเลย เราต้องให้ประชาชนเป็นผู้ชี้ทิศทางของประเทศ เราควรทำให้ประชาชนยอมรับด้วยความสบายใจ และเมื่อได้รับการยอมรับแบบนี้ก็จะไม่เป็นปมไปสู่ความขัดแย้ง

 

นายธนาธรกล่าวว่า หลังปี 2475 มีเพียง 24 ปี 310 วัน เท่านั้นที่นายกฯไทยมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น กับดักไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในรอบนี้ ชีวิตตนผ่านการทำรัฐประหารมาแล้ว 5 ครั้ง สำเร็จ 3 ล้มเหลว 2 แต่ไม่มีผู้นำการรัฐประหารคนใดถูกนำตัวมาลงโทษ การทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศไทยมีผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ตนคิดว่ามีความชัดเจน 1 อย่างในรอบ 60 ปีที่ผ่านมาว่าอะไรฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลง และการก้าวไปข้างหน้าของสังคมไทยไว้ พรรคอนาคตใหม่ปาวารณากับตัวเองว่าจะให้มันหยุดที่ยุคของเรา จะไม่ส่งผ่านการรัฐประหารไปยังลูกหลานของเรา วันนี้โลกของเราหมุนเร็วมาก จะรักษามาตรฐานของไทยในสังคมโลกไว้ได้ เราต้องหมุนเร็วให้ทันโลก ซึ่งระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยตามไม่ทัน ดังนั้น เราต้องทำให้คนกลับมาเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาให้ได้

นายธนาธรกล่าวอีกว่า เหตุที่ตนลงมาทำงานการเมืองเพราะความสิ้นหวัง และมองไม่เห็นทางออก รวมทั้งโกรธที่ทำไมสังคมไทยก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ ในฐานะนักธุรกิจที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองไทยเป็นข้ออ่อนมาก แค่ไปเสนองานยังโดนดูถูกว่าประเทศคุณแค่นิติรัฐยังไม่มีเลย วิธีที่ตนขอเสนอเพื่อก้าวพ้นกับดัก คือ ทุกคนเห็นร่วมกันว่าเราไม่มีฉันทามติในการที่เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร เราต้องสร้างฉันทามติให้ได้ก่อนโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ตนมองว่า ส.ส. และ ส.ว.หากอยากสังคมออกจากความขัดแย้ง แล้วเล่นตามรัฐธรรมนูญซึ่งเขียนโดยทหารนี้ พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหมดเสียงรวมกันต้องได้ 376 เสียง เพื่อเป็นรัฐบาล จากนั้นขอมติจากประชาชนในการแก้รัฐธรรมนูญ จากนั้นตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้ง แล้วทำประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญอีกครั้ง จะชนะและนำสังคมกลับมาเป็นประชาธิปไตยได้โดยไม่เกิดความวุ่นวาย ถ้าอยากได้ จะชนะได้ต้องรวมกัน เพราะเราต้องชนะในคูหาถึง 3 ครั้ง เพื่อทำลายประชามติที่โกงเรา 1 ครั้ง เราต้องอย่ายอมจำนนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

นายไพบูลย์กล่าวว่า มุมมองของตนอาจจะไม่เหมือนทั้ง 3 ท่าน ปี 49 และปี 51 ตนเข้าไปสู่การรับรู้ทางการเมืองในฐานะ ส.ว. เจอเรื่องราวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญ หรือการเคลื่อนไหวชุมนุมของประชาชนมาจนถึงปี 57 วาทกรรมขณะนั้นคือการเมืองแบบแบ่งขั้ว ช่วงนั้นเราเรียกว่าประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้าเป็น เราชอบแบบนั้นหรือ ชอบความวุ่นวายหรือ ประชาชนได้ใช้อำนาจเพียง 4 วินาที จากนั้นตัวแทนก็เข้ามาแสวงหาประโยชน์ และอำนาจโดยอ้างว่ามาจากประชาชน ซึ่งครั้งหน้าไม่เจอแน่ เพราะเราได้วางแผนป้องกันไว้ให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ตนตั้งพรรคเพราะเห็นโอกาส เห็นวิกฤตที่ผ่านมา ได้รับรู้ปัญหา คิดว่ากลไกที่เราได้วางไว้คือกลไกที่จะไม่ทำให้เราย้อนกลับไปเป็นเช่นในอดีต เรามี ส.ว. เพื่อถ่วงดุล ส.ส. แต่ที่ผ่านมาเราถ่วงดุลไม่ได้เพราะเรามีจำนวนน้อย ถามว่าตนอยากให้มีรัฐประหารไหม ตนขอบอกเลยว่า ตนไม่อยากให้มีรัฐประหารหรอก และถ้าท่านยังมีอคติว่าหน้าอย่างนี้ต้องเผด็จการ ต้องทหาร ท่านจะไม่ฟังสิ่งที่ตนพูด ทั้งนี้ ต้องขอบคุณท่านที่เห็นต่าง แต่ตนก็ขอสงวนสิทธิ์ในการแสดงความเห็นในมุมของตน ตนอยากเห็นสังคมที่สงบ ไม่เกิดความวุ่นวาย การแสดงออกหรือการใช้สิทธิเสรีภาพต้องแสดงออกตามกฎหมาย และสังคมไทยหลังการเลือกตั้งจะเดินไปตามระบอบนิติรัฐที่ถูกต้อง ไม่มีใครทำร้ายประเทศของเราได้ ขอให้เชื่อมั่นในความเป็นคนไทยที่จะพาประเทศไปข้างหน้าได้

นายธนาธรกล่าวต่อว่า เราต้องใช้ประชามติเป็นเครื่องมือในการหาฉันทามติของคนในสังคม อย่าไปให้ความสำคัญกับเทคนิค การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่การเดินไปตามเทคนิคทางกฎหมาย แต่เกิดจากกระแสสังคม ปัจจัยที่จะชี้ขาดคือประชาชนทุกคน จากนี้ไปตนจะเดินหน้าทำความเข้าใจกับประชาชน ให้ประชาชนรู้ว่าอนาคตที่ดีกว่าคืออนาคตที่ปราศจากรัฐธรรมนูญ 60 เพราะรัฐธรรมนูญ 60 ทำให้เราพัฒนาไปข้างหน้าไม่ได้ ดังนั้น จากนี้ต้องรณรงค์อย่างจริงจัง เราทุกคนที่ต้องการสร้างประชาธิปไตยให้แข็งแรง เราต้องทำงานร่วมกันตรงนี้ให้ได้

นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า ประชาธิปไตยของแต่ละคนมองกันคนละอย่าง แต่การมองคนละอย่างไม่ใช่สิ่งที่เลว หรือไม่ดี แต่เป็นสิ่งที่สวยงามตามระบอบประชาธิปไตย ตนเห็นหลายฝ่ายทุกข์กันตั้งแต่ต้นในการเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งตนไม่เห็นด้วย ท่านต้องมองโลกในแง่ดีหน่อย คิดเชิงบวก อย่าไปเพิ่มความขัดแย้งให้มาก ทุกอย่างมันมีทางไปของมัน ทั้งนี้ ตนไม่อยากพูดเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ใครจะแก้ก็แก้ไป แต่ตนยังมีความหวังที่จะเห็นการเลือกตั้งที่หลากหลาย มีพรรคต่างๆ เข้าไป ส่วนจะก้าวข้ามกับดักอย่างไรนั้น ตนเห็นแต่อนาคตที่ดี อย่าไปคิดให้มันมาก เมื่อก่อนตนเคยคิดจึงออกไปชุมนุม แต่ท่านต้องมองทุกอย่างด้วยความหวัง ในมุมของตนท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ตนมีความหวัง ตนเห็นว่าเราจะเข้าสู่โหมดนิติรัฐ เราจะเป็นสังคมที่ใช้กฎหมาย วันข้างหน้ากฎหมายก็ถอยไม่ได้ กฎระเบียบต่างๆ ก็ออกมาหมดแล้ว อีก 5 ปีข้างหน้า เขาวางให้ ส.ว.มาคุม สังคมไทยเราจะเดินไปได้ แม้จะไม่ถูกใจใครแต่จะเดินไปได้ และตนคิดว่าทุกอย่างต้องเดินหน้าไปตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ เราต้องเริ่มประชาธิปไตยที่แท้จริงจากในพรรคการเมืองด้วย กฎระเบียบที่ออกมานั้นจะทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคเกิดการปฏิรูป และได้พรรคการเมืองที่ดีขึ้น ขอให้ท่านทนไป 5 ปี และเมื่อท่านทนได้แล้วท่านจะชอบ

เมื่อถามว่า หากประเทศไทยในอนาคตมีการเลือกตั้งแล้วเกิดการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลชุดใหม่ จะทำอย่างไร

นายไพบูลย์ตอบว่า การชุมนุมที่ผ่านมาคนที่ได้ประโยชน์คือคนที่เป็นประเภทตาอยู่ ส่วนประชาชนมีแต่เสีย คนรุ่นใหม่ท่านอย่าไปเอาอย่างที่เคยพลาดมาแล้ว และหากมีการชุมนุมอีกครั้ง ตนจะไม่ออกไปเพราะตนจะใช้แต่กฎหมาย ใครจะไปก็ไป

ด้านนายธนาธรกล่าวว่า การชุมนุมไม่ใช่เรื่องแปลกแต่การชุมนุมมีอยู่ในสังคมทุกประเทศไม่ใช่เรื่องแปลก หากเป็นการชุมนุมตามกฎหมายและปราศจากความรุนแรงจะต้องอนุญาตให้ชุมนุมเพราะถือว่าเป็นสิทธิ แต่เมื่อใดก็ตามที่การชุมนุมเป็นบัตรเชิญให้เกิดการรัฐประหารแบบนั้นผิด

ขณะที่นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อย่าไปกลัวการชุมนุมหากการชุมนุมนั้นเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และตราบใดที่ยังเป็นการชุมนุมตามกรอบและปราศจากอาวุธก็ถือเป็นสิทธิ

ส่วนนายจาตุรนต์กล่าวว่า ถ้ามีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ในฐานะพรรคการเมืองที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็ต้องรับรองสิทธิและเสรีภาพของการชุมนุมที่เป็นไปตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ต้องแก้ไขระบบยุติธรรมที่ยังเป็นสองมาตรฐาน และกลไกรัฐในอดีตที่ผ่านมาไม่ทำตามคำสั่งหรือการมอบหมายของรัฐบาล เป็นไปตามคำสั่งหรือการมอบหมายของรัฐบาลหรือเลือกทำเพียงบางอย่างในบางเวลา ทั้งนี้ 4 ปีที่ผ่านมา คสช.และพวกไม่พยายามที่จะลดเงื่อนไขเหล่านี้ ดังนั้น ยังคงมีเงื่อนไขที่ต้องการสนับสนุนให้เกิดขึ้นมันก็จะเกิดขึ้นอยู่