อาชญากรรม : เปิด 2 ข้อหาหนัก! “อั้งยี่-ปลอม ภ.ป.ร.” ปมสึกพุทธะอิสระ “บิ๊กตู่” เอ่ยขอโทษ

ถือเป็นการกวาดล้างวงการศาสนาครั้งใหญ่

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามบุกจับพระเถระ และพระชื่อดัง ไปดำเนินคดี

ทั้งความผิดฐานทุจริต ฟอกเงิน ในกรณีเงินทอนวัด

ไม่เพียงแค่นั้น ยังบุกจับพระชื่อดังอย่างพุทธะอิสระ แกนนำม็อบ กปปส. ที่มีพฤติกรรมโลดโผนเป็นอย่างยิ่ง

ในความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจร สั่งให้ปล้นทรัพย์ และทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่

กับอีกข้อหาคือปลอมพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. และ ส.ก. มาประดิษฐานไว้หลังพระเครื่องนาคปรก โดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต

โดยปฏิบัติการครั้งนี้ใช้ความรวดเร็ว บุกจับกุมขณะนอนหลับอยู่ในมุ้ง ไม่มีโอกาสได้ขัดขืน

ส่งผลให้บรรดาลูกศิษย์ที่เลื่อมใสออกมาโวยวายการทำงานของเจ้าหน้าที่

ถึงขนาดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ต้องออกมาขอโทษอดีตพุทธะอิสระ

ขณะที่ตำรวจยืนยันทำตามยุทธวิธี เพราะถูกหมายจับ 2 ข้อหาหนัก

เป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่าจะมีบทลงเอยอย่างไร

เปิด 2 ข้อหาหนัก-อั้งยี่ซ่องโจร

หลังปฏิบัติการบุกจับกุมพุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ คามุ้งขณะนอนหลับอย่างเป็นสุขที่วัดอ้อน้อย เมื่อเช้าตรู่วันที่ 24 พฤษภคมที่ผ่านมา ก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ด้วยการนำตัวฝากขังศาลอาญา

โดยศาลไม่ให้ประกัน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องนิมนต์เจ้าอาวาสวัดเสมียนนารีมาทำหน้าที่ลาสิกขาให้พระสุวิทย์

ส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จากพระสุวิทย์ กลายเป็นผู้ต้องขังชายสุวิทย์

ทั้งนี้ ศาลระบุเหตุของการไม่ให้ประกันว่า เนื่องจากพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีความหนัก-เบาของข้อหา คดีอั้งยี่ซ่องโจรมีอัตราโทษจำคุกสูง และยังมีความผิดในข้อหาปลอมพระปรมาภิไธยอีก หากปล่อยตัวชั่วคราว อาจไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน จึงไม่อนุญาตปล่อยตัว

และเมื่อย้อนไปดูคำร้องฝากขัง ก็พบพฤติกรรมที่น่ากลัว

คำร้องขอฝากขังในคดีอั้งยี่ซ่องโจรระบุว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล 3 นาย แต่งกายนอกเครื่องแบบลงพื้นที่หาข่าวม็อบชาวนาที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี และเดินเท้าไปยื่นเอกสารที่อัยการสูงสุด แจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พระสุวิทย์ยึดพื้นที่ชุมนุมอยู่

ระหว่างนั้นมีการ์ด กปปส. เข้ามาขอดูโทรศัพท์ เมื่อทราบว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ จึงทำร้ายร่างกาย มัดมือไพล่หลัง ใช้ผ้าปิดตา โดยมีตำรวจหลบหนีไปได้ 1 คน

จากนั้นการ์ดคุมตัวทั้ง 2 ยึดโทรศัพท์มือถือ นาฬิกา สร้อยคอพร้อมพระไปยังข้างเวที กปปส. บังคับขืนใจให้บอกรหัสปลดล็อกโทรศัพท์และทำร้ายร่างกายด้วยการเตะ ต่อยที่ใบหน้า ศีรษะ ลำตัว ใช้ถุงคลุมศีรษะเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ

เมื่อผู้บังคับบัญชาของ 2 ตำรวจขอตัวคืน พระสุวิทย์ก็ให้ไปพบที่บ้านทรงไทยข้างเวที บอกจะให้กลับแต่ต้องให้ผู้บังคับบัญชามารับ ระหว่างนั้น 3-4 ชั่วโมง กลุ่มการ์ดเปลี่ยนกันซักถามและทำร้ายร่างกายตำรวจทั้ง 2 ใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้า ทาแป้งลบรอยบาดแผล ปิดตา แต่แก้มัด ระบุถ้าหนีจะโดนลูกปืน แล้วพามาพบพระสุวิทย์

จึงรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับฐานใช้ผู้อื่นให้ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำตามหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ อันทำให้ได้รับอันตรายสาหัส อ้างอำนาจอั้งยี่ หรือซ่องโจร เป็นผู้อื่นให้ปล้นทรัพย์ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส

เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296, 298, 310 วรรคสอง, 309 วรรคสองและวรรคสาม, 339 วรรคสอง, 340 วรรคแรกและวรรคสาม, 213 ประกอบ ม.84

อีกข้อหาปลอมพระปรมาภิไธย

ส่วนคำร้องฝากขังคดีปลอมพระปรมาภิไธยระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2560 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องนาคปรก รุ่นหนึ่งในปฐพี โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

โดยนายวิชัย ผู้กล่าวหา ตรวจพบทางเว็บไซต์ว่าพระเครื่องดังกล่าวมีการสร้างเมื่อช่วงเข้าพรรษาปี 2554 บรรจุปรอทเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2554 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สร้างพระสำเร็จ ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 250, 252

การสอบสวนพยานบุคคล พร้อมทั้งตรวจสอบไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติยืนยันตรงกันว่า ผู้ต้องหาไม่ได้รายงานขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตามกฎระเบียบของมหาเถรสมาคม และจากการสอบสวนพยานบุคคลเจ้าหน้าที่กรมราชเลขานุการในพระองค์ ยืนยันว่าผู้ต้องหาไม่ได้ขออนุญาตใช้พระปรมาภิไธยย่อและอักษรย่อพระนามาภิไธย จึงแจ้งข้อหาฐานปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 250, 252

เป็น 2 คดีใหญ่ที่ต้องพิสูจน์ต่อไปในกระบวนการยุติธรรม

ย้อนนาทีบุกจับ-บิ๊กตู่ขอโทษ

สําหรับเหตุการณ์บุกจับครั้งนี้ เมื่อเช้าตรู่วันที่ 24 พฤษภาคม เมื่อ พล.ต.ต.อภิชาติ สิริสิทธิ์ รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ ผกก.ปพ.บก.ป. นำกำลังคอมมานโดติดอาวุธครบมือกว่า 100 นาย บุกเข้าค้นวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เพื่อเข้าจับกุมพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือพุทธะอิสระ อดีตแกนนำม็อบ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะ

โดยกำลังเจ้าหน้าที่บุกเข้าค้นทั้งหมด 4 จุด ประกอบด้วย 1.บริเวณแหล่งผลิตสมุนไพรของวัดอ้อน้อย อาคารอโรคยาเภสัช 2.มูลนิธิธรรมะอิสระ ตรวจเอกสารต่างๆ 3.เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ร่วมกันเข้าตรวจค้นที่กุฏิหลวงปู่พุทธะอิสระ กลางทุ่งนา และ 4.โรงทานวัดอ้อน้อย

พร้อมสั่งควบคุมกลุ่มการ์ดที่ประจำการอยู่ในวัดเพราะพบว่ามีอาวุธปืน และตรวจสอบว่าใครกันบ้างที่มีหมายจับติดตัว

ก่อนที่จะบุกเข้าไปถึงกุฏิแล้ววางกำลังล้อมเอาไว้ ก่อนจะตะโกนให้ผู้ต้องหามามอบตัว และระบุว่าเจ้าหน้าที่มาจับกุมคนตามหมายจับ แต่ไม่มีใครเปิดประตู คอมมานโดจึงใช้ค้อนทุบประตูชั้นแรกเข้าไป

เมื่อพบว่ามีประตูอีกชั้นและผู้ต้องหาไม่ยอมเปิดประตู จึงใช้ค้อนทุบอีก พร้อมสั่งการให้ระมัดระวัง เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะต่อสู้

จนกระทั่งเมื่อเข้าไปถึงห้องนอนของพระสุวิทย์ พบมีคนนอนอยู่ในมุ้ง เมื่อตรวจสอบว่าเป็นพระสุวิทย์ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ จึงสั่งให้มอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งพระสุวิทย์อยู่ในสภาพไม่ห่มจีวร มีเพียงสบงและอังสะเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังคลิปการบุกจับกุมถูกเผยแพร่ก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เป็นเหตุให้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เอ่ยปากขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมนายสุวิทย์

หลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม โดยว่ากล่าวตักเตือนและกำชับไปแล้วว่าต้องไม่มีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก รวมทั้งยังขอโทษนายสุวิทย์ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้วย

เป็น 1 ในผู้ต้องหาที่ได้รับคำขอโทษจากนายกฯ

เปิดประวัตินำม็อบ กปปส.

สําหรับพระพุทธะอิสระ เป็นพระวัดอ้อน้อย อ.สามพราน จ.นครปฐม เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยแยกมาตั้งเวทีที่ถนนแจ้งวัฒนะ ไม่ให้ข้าราชการและประชาชนเข้าไปใช้บริการศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ

ระหว่างการชุมนุมมีพฤติกรรมรุนแรงหลายครั้งจากกรณีที่การ์ดม็อบไปทำร้ายประชาชน ทหาร และเจ้าหน้าที่ที่สัญจรผ่านไปมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะไปขยับกรวยที่ตั้งขวางถนน กลายมาเป็นที่มาของคำว่ากรวยศักดิ์สิทธิ์

นอกจากนี้ ยังนำกลุ่มผู้ชุมนุมออกดาวกระจาย ปิดสถานที่ต่างๆ อาทิ โรงแรมเอสซีปาร์ค โดยอ้างว่ามาจองห้องพัก และจะให้ผู้ชุมนุมเปลี่ยนหน้ากันเข้าพัก จนทำให้ผู้จัดการโรงแรมต้องมาขอร้อง โดยพุทธะอิสระพร้อมนำม็อบกลับ แต่เรียกเงินค่าความเสียหาย 1.2 แสนบาท

ไม่เพียงแค่นั้น ยังนำกลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ถนนวิภาวดีรังสิต เรียกร้องให้บรรณาธิการมาขอโทษในการเสนอข่าวม็อบ กปปส. จนทำให้ผู้ดำเนินรายการ ผู้สื่อข่าวต้องปีนกำแพงหลบหนีกันอย่างวุ่นวาย

รวมทั้งการนำผู้ชุมนุมไปขัดขวางการขนย้ายหีบเลือกตั้งของเขตหลักสี่ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 นำมาซึ่งการปะทะของกลุ่มมือปืนป๊อปคอร์น มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

หลังม็อบ กปปส. พุทธะอิสระยังมีบทบาทอีกหลายด้าน อาทิ โทรศัพท์คุยกับ ผอ.สำนักพระพุทธฯ ให้ดำเนินการปลดเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และตั้งรักษาการเจ้าอาวาสคนใหม่ รวมทั้งการมอบเข่งใส่สิ่งปฏิกูลให้แก่กรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อคัดค้านการเสนอชื่อสมเด็จช่วง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นผู้เหมาะสมดำรงตำแหน่งสังฆราช

ออกแรงเชียร์รัฐบาล คสช. มาตั้งแต่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

ล่าสุดเจอ 2 ข้อหาหนัก สึกจากความเป็นพระ ถูกคุมตัวในเรือนจำ