เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หารือประเด็นการขับเคลื่อนตามแผนปฏิรูปประเทศด้านสังคม ร่วมกับ นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคมที่กระทรวงแรงงาน

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 10 ล้านคน และในอีก 3 ปีข้างหน้า ผู้สูงอายุจะพุ่งสูงถึง 16 ล้านคน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้เร่งรัดดำเนินการในเรื่องการจ้างงานผู้สูงอายุ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ปรับแก้กฎกระทรวงเกี่ยวกับการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยจะต้องบูรณาการร่วมกับภาคเอกชนในการกำหนดประเภทของงาน ลักษณะการจ้างงาน เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ

“กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ได้เข้าไปดูแลลูกจ้างก่อนเกษียณอายุในประเด็นการส่งเสริมการออม สวัสดิการ และการลงทุนเพื่อสังคม ได้ส่งเสริมการออมให้แก่ลูกจ้างเพื่อให้มีเงินออมไว้ใช้หลังเกษียณโดยส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ ปัจจุบันมี 614 แห่ง ลูกจ้าง 689,756 คน นอกจากนี้ ยังบริการเงินกู้เพื่อให้สหกรณ์ออมทรัพย์ของผู้ใช้แรงงานได้กู้ เพื่อปล่อยกู้ให้แก่สมาชิกในสถานประกอบการในอัตราดอกเบี้ยต่ำ การส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิการทั้งสวัสดิการส่วนที่กฎหมายกำหนด และสวัสดิการที่นอกเหนือจากกฎหมายกำหนด อาทิ ให้สถานประกอบการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมทั้งส่งเสริมให้มีแพทย์และพยาบาลในสถานประกอบการเพื่อดูแลสุขภาพลูกจ้าง เป็นต้น” พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าว

สำหรับการรองรับผู้สูงอายุในการทำงานนั้น พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้แก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับที่ 6 พ.ศ.2560 โดยใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 โดยกำหนดอายุเกษียณของลูกจ้างในสถานประกอบการไว้ที่ 60 ปี ให้คณะกรรมการค่าจ้างมีอำนาจในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของลูกจ้างผู้สูงอายุและคนพิการเป็นรายชั่วโมงได้ เพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนกรณีผู้สูงอายุที่เกษียณแล้ว และต้องการทำงานอิสระ ได้ออก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ.2553 ซึ่งผู้สูงอายุสามารถรับงานจากสถานประกอบการไปทำที่บ้าน และได้รับค่าตอบแทนเป็นรายชิ้น โดยจะได้รับค่าจ้างอัตราเดียวกับที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างในสถานประกอบการและไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ