เผยแพร่ |
---|
นิทานเกี่ยวกับสำเภาจีนแล่นมาอ่าวไทยมีหลายเรื่อง แต่ที่มีฉากทะเลอ่าวไทยตั้งแต่เพชรบุรีและสถานที่ใกล้เคียงแถบอ่าวไทย แล้วบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเอกสารเก่าสุดเท่าที่พบขณะนี้ มี 3 เรื่อง คือ
(1) มหาเภตรา
(2) ท้าวม่องไล่ เจ้ากงจีนและเจ้าลาย ในหนังสือสมุดราชบุรี (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2468 หน้า 55-63)
(3) เจ้าอู่ โอรสจักรพรรดิจีน ในหนังสือพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ. 2182
ในที่นี่จะเล่าถึงพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต
“เจ้าอู่” โอรสจักรพรรดิจีน
ท้าวอู่ทองจากเมืองจีน
ท้าวอู่ทองหรือพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองจีน มีจดอยู่ในเอกสารของ วัน วลิต ชื่อ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ. 2182
วัน วลิต เป็นพ่อค้าชาวฮอลันดาเดินทางเข้ามาประจำสำนักงานการค้าอยู่ที่พระนครศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. 2176-2185 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น แล้วเรียนรู้ภาษาไทยด้วยนิทานเรื่องท้าวอู่ทองหรือพระเจ้าอู่ทองที่จดไว้ วัน วลิต คงฟังมาจากคำบอกเล่าของชาวพระนคร ศรีอยุธยา ทั้งที่เป็นขุนนาง ข้าราชการ และพ่อค้าประชาชนสมัยนั้น อาจกล่าวว่ามีการบันทึกนิทานเรื่องนี้เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าที่สุดก็ได้
วัน วลิต จดคำบอกเล่าไว้ว่า พระเจ้าอู่ทองเดิมมีพระนามว่าเจ้าอู่ เป็นโอรสของจักรพรรดิจีน ต่อมาถูกเนรเทศไปอยู่เมืองปัตตานี เพราะกระทำความผิดร้ายแรงแล้วเสด็จไปสร้างเมืองนครศรีธรรมราช เมืองกุยบุรี เมืองพริบพรี เมืองคองขุดเทียม (หรือบางขุนเทียน) เมืองบางกอก ท้ายที่สุดทรงสร้างเมืองอยุธยา แล้วเสวยราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกของสยาม มีพระนามว่าสมเด็จพระราชารามาธิบดีฯ แล้วไปสร้างเมืองนครหลวงไว้ที่กัมพูชาด้วย มีเนื้อหารายละเอียดอยู่ในหนังสือ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต
(คัดจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ. 2182 (วัน วลิต แต่ง ดร. เลียวนาร์ด แอนดายา แปลเป็นภาษาอังกฤษจากภาษาฮอลันดา มิเรียม เจ. แวน เดน เบอร์ก คัดลอกจากต้นฉบับเดิม ศ. เดวิด เค. วัยอาจ บรรณาธิการ วนาศรี สามนเสน แปลเป็นภาษาไทยจากภาษาอังกฤษ ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร ตรวจ) ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร จัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2523)

“เจ้าอู่” โอรสจักรพรรดิจีน
“เป็นเวลานานกว่า 300 ปีมาแล้ว มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง ซึ่งปกครองแว่นแคว้นหลายแว่นแคว้นในประเทศจีน (ชาวสยามไม่ทราบพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้) พระองค์มีโอรสองค์หนึ่ง พระนามว่าเจ้าอู่ (T’Jaeu ou-e)1 ซึ่งเป็นเจ้าชายที่ตัณหาจัด ได้ข่มเหงภรรยาขุนนางจีนสำคัญๆ ไปหลายคน2
หญิงคนใดที่ไม่ยอมให้พระองค์ข่มเหงก็จะถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ ขุนนางเหล่านี้ได้เข้าร้องเรียนพระเจ้าแผ่นดินถึงความประพฤติตัวไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมของพระราชโอรส และขู่จะถอดถอนพระเจ้าแผ่นดินออกจากราช บัลลังก์ ถ้าหากพระองค์ทรงปฏิเสธไม่ปลงพระชนม์พระราชโอรสเสีย พระเจ้าแผ่นดินทรงยินยอมและตั้งใจที่จะปลงพระชนม์พระราชโอรส แต่สมเด็จพระราชินี (พระมารดาของเจ้าชายที่ถูกกล่าวหา) ทรงคัดค้านและเห็นว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้พระราชโอรสออกนอกประเทศ พระเจ้าแผ่นดินทรงยินยอมและได้เล่าความคิดนี้แก่พวกขุนนาง พวกขุนนางก็พออกพอใจและเห็นด้วยกับพระองค์
เมื่อพระราชโอรสได้ทราบข่าวว่าการเนรเทศ พระองค์ไม่ทรงแปลกพระทัยมากนัก พระองค์ตรัสว่า ‘พวกขุนนางพิจารณาว่าฉันประพฤติตัวเลวมากถึงขนาดจะฆ่าฉันหรือฆ่าพระราชบิดา และพระบิดาตัดสินว่าควรจะไปเสียให้พ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วฉันจะยอมรับพระบรมราชโองการทุกประการ’
พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานเรือสำเภาหลายลำพร้อมทั้งเสบียงมากมาย เช่น ข้าว อาวุธยุทธภัณฑ์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเดินทางไกลให้แก่พระราชโอรส พระองค์ยังพระราชทานข้าราชบริพารให้อีก 200,000 คน และของมีค่าต่างๆ ดังนั้นพระราชโอรสก็ออกเดินทางจากประเทศจีนพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติดังกล่าว พระราชโอรสทรงตั้งพระทัยที่จะตั้งถิ่นฐานตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและตามกระแสลมที่จะพัดพาขบวนเรือของพระองค์ไป พระเชษฐา3 ก็ได้เสด็จตามพระอนุชามาด้วย เนื่องจากทรงรักพระอนุชาองค์นี้มาก
ขบวนเรือของเจ้าอู่มาถึงปัตตานีโดยบังเอิญ พระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารก็ขึ้นบกที่นั่น แต่เมื่อพระองค์ทรงพบว่าปัตตานีเป็นเมืองที่มีประชาชนอยู่หนาแน่นแล้ว พระองค์จึงไม่ต้องการตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ปัตตานีอีก เสด็จลงเรือเดินทางเลียบชายฝั่งเข้าไปในแผ่นดินจนถึง อุลุปัตตานี (Oulou Van Ptanij)4
พระองค์ได้สร้างเมือง Langh seca5 (ลังกาสุกะ) ขึ้นที่นั่น หลังจากที่พระองค์ได้จัดการเมืองใหม่ให้เป็นปึกแผ่น ประกอบด้วยประชาชน ทหาร และมีกฎหมาย และระเบียบเรียบร้อยแล้ว พระองค์เสด็จลึกต่อไปในแผ่นดินจนถึงบริเวณที่เรียกว่า ลีคร (Lijgoor = Ligor = ละคร = นครศรีธรรมราช)6 เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นแต่เพียงป่ารกร้าง7
พระองค์ทรงฉวยโอกาสตั้งเมืองขึ้นที่นั่นเองเรียกว่าเมืองลีคร พระองค์ได้ปกครองเมืองลีครและจัดการให้มีทุกสิ่งทุกอย่างและเสด็จต่อไปจนถึง กุย (Cuij) และถึงแม้พระองค์ทรงพบว่าเป็นแต่เพียงป่าก็ตาม พระองค์ยังทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นอีกแห่งหนึ่งและประทับอยู่ที่เมืองตลอดมา
ในเวลานั้นมีเรือสำเภาจากจักรพรรดิจีนสองลำมาปรากฏที่เมืองกุย และมีข่าวเข้าหูเจ้าอู่ว่า นายเรือ (annachodas)8 และพ่อค้าจีนยินดีที่จะได้รับไม้ฝาง พระองค์จึงใช้วิเทโศบายให้ไม้ฝางแก่บุคคลดังกล่าวเป็นจำนวนมากเท่าที่เรือทั้งสองลำจะบรรทุกไปได้ ดังนั้นพวกพ่อค้าจึงกลับเมืองจีนไปด้วยความปีติอย่างล้นพ้น เมื่อมาถึงเมืองจีนก็ได้รายงานให้พระจักรพรรดิทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม้ฝางซึ่งได้มาเป็นของกำนัล พระจักรพรรดิทรงปีติเป็นอย่างมากที่ได้ไม้ฝางเป็นกำนัล จึงยกพระธิดาพระนามว่านางปะคำทอง (Nangh Pacham Tongh) ให้อภิเษกกับเจ้าอู่9
พระองค์ได้จัดพิธีส่งพระราชธิดาอย่างเอิกเกริก นอกจากนี้ยังพระราชทานนามเจ้าอู่ว่าท้าวอู่ทอง10 เพื่อเป็นรางวัลอีกด้วย
หลังจากที่เจ้าอู่ ซึ่งมีพระนามใหม่ว่าท้าวอู่ทอง ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองกุยกับพระมเหสีธิดาจักรพรรดิจีนชั่วระยะเวลาอันสั้น พระองค์ก็ตัดสินพระทัยที่จะตั้งบ้านเมืองในประเทศสยามให้ดีกว่านี้ เมื่อได้ทราบข่าวว่ามีโอกาสที่จะทำได้ พระองค์ก็ทรงเดินทางออกจากเมืองกุย (Cuji) และสร้างเมืองอื่นๆ ขึ้น เมืองแรกได้แก่ พริบพรี (Pijprij)11
ขณะที่กำลังขุดดินอยู่นั้น คนงานก็ได้พบรูปปั้นทองแดงสูงประมาณหกสิบฟุตนอนอยู่ใต้ดิน ซึ่งนำความแปลกใจมาให้พระเจ้าอู่ทองเป็นอันมาก แต่หลังจากที่พระองค์ได้สดับคำอธิบายเกี่ยวกับรูปปั้นและรากฐานของศาสนาชาวสยาม พระองค์จึงได้เปลี่ยนจากนับถือศาสนาของจีนมานับถือศาสนาของชาวสยาม”
เชิงอรรถ
1 ต้นฉบับวัน วลิต สะกด tJaeu-cu-e ฟังคล้ายๆ กับ เจ้าอุย
2 ในต้นฉบับใช้คำว่า ขุนนาง (mandarins) เมื่อกล่าวถึงข้าราชการในราชอาณาจักร (ผู้แปล)
3 พระราชโอรสองค์นี้ไม่ได้กล่าวถึงอีกต่อไปในเนื้อเรื่อง
4 หมายถึงตอนเหนือของประเทศหรือภายในเขตปัตตานี คือขึ้นไปตามลำน้ำปัตตานี
5 ข้อนิเทศนี้ก่อให้เกิดความประหลาดใจและความขัดแย้งเป็นศตวรรษในเรื่องที่ตั้งของอาณาจักรที่ชาวจีนรู้จักในนามของ Lang-ya-hsiu ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 เป็นต้นมา หลังจากที่ พอล วีธเลย์ (Paul Wheatley) ได้ศึกษาปัญหาและลักษณะที่ตั้งอย่างละเอียดแล้วในปี พ.ศ. 2499 ได้เสนอว่าที่ตั้งอาณาจักรดังกล่าวอยู่ในเขตเมืองปัตตานี ปัจจุบันดู เรื่องลังกาสุกะ Langkasuka ในตุงเป้า ฉบับที่ 44 (1956) หน้า 381-412 และ The Golden Khersonese (Kuala Lumpur, 1961) หน้า 252-67
6 นครศรีธรรมราช
7 ข้อความนี้ไม่ค่อยตรงกับประวัติศาสตร์สมัยต้นที่ยาวนาน ของจังหวัดนคร ดูตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ใน The Crystal Sands, โดย D.K. Wyatt (Ithaca, N.Y., 1975)
8 นายเรือ.
9 เปรียบเทียบนิยายที่คล้ายคลึงกันใน ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ในรวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช (กรุงเทพฯ พ.ศ. 2505) หน้า 52-55
10 ตำแหน่งที่รู้จักกันทั่วไปของผู้สร้างกรุงศรีอยุธยา ดูรวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช หน้า 51-52, 84-85 เรื่อง พงศาวดารเหนือ หน้า 388 และ Legends sur le Siam et le Cambodge โดย Notten หน้า 90-94, 97-104
11 เมืองเพชรบุรีมีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งกัมพูชา (ปี พ.ศ. 1725-1761) ดูศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ ใน BEFEO fasc. 2 (1942) หน้า 296 บรรทัดที่ 117