เผยแพร่ |
---|
เกมฟาดแข้งฟุตบอลโลก 2018 รอบรองชนะเลิศ คู่ที่ 2 เกมระหว่าง “ตาหมากรุก” โครเอเชีย ลงสนามดวลกับ “สิงโตคำราม” อังกฤษ อดีตแชมป์โลก 1 สมัยเมื่อปี 1966 ที่ลุซนิกิ สเตเดียม กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ในคืนวันที่ 11 กรกฎาคม
สำหรับเกมนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือหนุ่มทัพสิงโตคำรามยังคงยึดผู้เล่นชุดหลักลงสนามนำโดย แฮร์รี่ เคน ดาวซัลโวที่ยิงประตูไปแล้วในทัวร์นาเมนต์นี้ 6 ประตู ยืนเป็นศูนย์หน้ากัปตันทีมลงล่าตาข่าย
ขณะที่แนวรุกมี ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เดเล่ อัลลี่, เจสซี่ ลินการ์ด และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ผ่านความฟิตลงคุมเกมแดนกลาง วิงแบ๊ก 2 ฝั่ง คีแรน ทริปเปียร์, แอชลี่ย์ ยัง ส่วน 3 แดนหลัง ไคล์ วอล์กเกอร์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และจอร์แดน พิคฟอร์ด ลงเฝ้าเสา
ขณะที่ ซลัตโก้ ดาลิช เฮดโค้ชทัพตาหมากรุกวางแผนมาระบบ 4-2-3-1 นำโดย ลูก้า โมดริช มิดฟิลด์กัปตันทีม, อีวาน ราคิติช, มาร์เซโล่ โบรโซวิช, ริมเส้นมี อีวาน เปริซิช, อันเต้ เรบิช, กองหน้า มาริโอ มานด์ซูคิช ส่วนแนวรับ 4 คน ประกอบด้วย ซีเม่ เวอร์ซาลโก้, อีวาน สตรินิช, เดยัน ลอฟเรน และโดมากอย วีด้า
เกมครึ่งแรกนาทีที่ 4 อังกฤษได้ลูกฟรีคิกจากจังหวะที่ เดเล่ อัลลี่ ลากบอลเข้าไปก่อนโดน ลูก้า โมดริช สกัดล้มลงไป และเป็น คีแรน ทริปเปียร์ วางเท้าปั่นฟรีคิกส่งบอลเข้าไปกองก้นตาข่ายให้ทัพสิงโตคำรามออกนำอย่างรวดเร็ว 1-0 และเป็นประตูแรกของ คีแรน ทริปเปียร์ ในการรับใช้ทีมชาติอังกฤษเป็นนัดที่ 12 อีกด้วย
นาทีที่ 14 อังกฤษได้ลุ้นขยับสกอร์หนีห่างจากลูกเตะมุม และเป็น คีแรน ทริปเปียร์ บรรจงวางบอลเข้าไปหน้ากรอบเขตโทษให้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เติมเกมรุกมาโหนโขกบอลหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 19 ขุนพลแข้งตาหมากรุกพยายามเดินเครื่องครองเกมบุกหวังทวงประตูตีเสมอ และได้โอกาสหวดเสียวจาก อีวาน เปริซิช ลากบอลตัดเข้ากลางแล้วง้างเท้าขวาข้างไม่ถนัดตะบันหน้ากรอบเขตโทษ แต่บอลหลุดเสาออกหลังไป
นาทีที่ 30 แข้งแดนผู้ดีหวุดหวิดที่จะซัดตาข่ายประตูที่ 2 จากจังหวะที่ เจสซี่ ลินการ์ด แทงบอลทะลุช่องให้ แฮร์รี่ เคย หลุดเข้าไปซัดดาบแรกติดเซฟ ก่อนตามซ้ำดาบสองไปชนเสา และไลน์แมนยังยกธงให้เป็นลูกลำ้หน้าไปอีกด้วย จบครึ่งแรกอังกฤษขึ้นนำโครเอเชีย 1-0
ครึ่งหลังแข้งโครแอตเปิดฉากโหมบุกใส่ตั้งแต่ต้น นาทีที่ 53 อันเต้ เรบิช ตักบอลโด่งเข้าไปในเขตโทษให้ อีวาน เปริซิช แต่บอลลอยโด่งเกินไป
นาทีที่ 56 จอร์แดน พิคฟอร์ด นายด่านสิงโตคำรามเปิดบอลยาวจากหน้าปากประตูตัวเองเข้าไปให้ แฮร์รี่ เคน โหม่งชงให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แต่งบอลต่อให้ เจสซี่ ลินการ์ด ง้างเท้าขวาซัดบอลไปติดบล็อกแนวรับโครแอตออกหลังไป
นาทีที่ 65 โครเอเชียครองบอลบุกกดดันได้อย่างต่อเนื่อง และเป็น อีวาน เปริซิช เก็บตกบอลได้หน้ากรอบเขตโทษแล้วซัดด้วยเท้าขวาเต็มข้อ แต่ ไคล์ วอล์กเกอร์ พุ่งบล็อกเอาไว้ได้ทัน และตัวเองเจ็บจนต้องล้มลงไปกองกับพื้น
จนกระทั่งนาทีที่ 67 ทัพโครแอตพังประตูตีเสมอสำเร็จ 1-1 จากจังหวะที่ ซีเม่ เวอร์ซาลโก้ โยนบอลเข้าไปให้ อีวาน เปริซิช เหยียดเท้าซ้ายตัดหน้า ไคล์ วอล์กเกอร์ ปาดบอลเข้าประตูไป
จากนั้นโครเอเชียยังครองบอลบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง นาทีที่ 82 ซีเม่ เวอร์ซาลโก้ ตักบอลให้ มาริโอ มานด์ซูคิช แต่งบอลหนึ่งจังหวะแล้วยิงไปติดเซฟอย่างนาเสียดาย จบ 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไป
ช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 99 อังกฤษได้โอกาสลุ้นจากลูกเตะมุม คีแรน ทริปเปียร์ เปิดเข้าไปให้ จอห์น สโตนส์ ลอยตัวขึ้นโขกคนเดียวโล่งบอลพุ่งตรงกรอบ แต่ ซีเม่ เวอร์ซาลโก้ โหม่งสกัดทิ้งออกจากเส้นมาได้
นาทีที่ 109 แข้งโครเอเชียพังประตูแซงขึ้นนำ 2-1 อีวาน เปริซิช โหนโหม่งบอลต่อให้ มาริโอ มานด์ซูคิช โฉบเข้าไปตวัดยิงยัดเสาสองเข้าไปตุงตาข่าย
จบเกม โครเอเชีย แซงคว้าชัยเหนือ อังกฤษ 2-1 ทำให้โครเอเชียผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยจะเข้าไปพบกับ ฝรั่งเศส ส่วนอังกฤษร่วงไปปเตะชิงอันดับ 3 กับ เบลเยียม