E-DUANG : จาก “โรฮินญา” ถึง “พฤษภา 2553”

หากสังคม”เมียนมาร์”ถูกตั้งข้อกังขาในเรื่องการสังหารหมู่ “โรฮินจา” ที่รัฐยะไข่อย่างเหี้ยมโหด

ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับ “ชาวพุทธ”

แล้ว “สังคมไทย” จะตอบคำถาม “ชาวโลก” อย่างไรกับเหตุการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553

โดยเฉพาะการสาดกระสุนเข้าใส่ “วัดสระปทุม”

ยิ่งกว่านั้น หากหวนรำลึกถึงสถานการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2519 บริเวณท้องสนามหลวง บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ก็ยิ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้

เพราะเกิดขึ้นไม่ห่างจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เกิดขึ้นไม่ห่างจากศาลสถิตยุติธรรม

เป็นเพราะ “การเมือง” กระนั้นหรือ

 

หากค้นหา “คำตอบ” จาก “คำถาม”และความสงสัยของแต่ละเหตุ การณ์

ไม่ว่าที่ “เมียนมาร์” ไม่ว่าที่ “ไทย”

คำอธิบายของ อองซาน ซูจี ก็เป็นอย่าง 1 คำอธิบายของชาวโรฮิญจา ก็เป็นอย่าง 1

เหมือน “หนัง” คนละม้วน คนละเรื่อง

คำอธิบายของรัฐบาลเมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 ก็เป็นอย่าง 1

เสียงร้องร่ำ คร่ำครวญ จากผู้สูญเสียก็เป็นอีกอย่าง 1

ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียของชาวนาจากภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียของคนขับแท็กซี่จากบางบัวทอง

ร่ำไห้ปาน “น้ำตา” จะเป็น “สายเลือด”

 

เพียงเพราะข้ออ้างในเรื่องความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกัน เพียงเพราะข้ออ้างในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา

คนก็พร้อมจะเข่นฆ่า ทำลายกัน

ทั้งๆที่หลักธรรมของทุกศาสนาล้วนต้องการความสะอาด ความสงบ ความสว่าง

แล้วเหตุใดจึงต้องลงเอยด้วยการฆ่า

การเมืองจริงหรือทำให้คนเป็นเช่นนี้ ศาสนาจริงหรือทำให้คนกลายเป็นสัตว์ร้าย ทำลายชี่วิตยังไม่พอยังตามไปบดขยี้ชื่อเสียงและเกียรติยศกันอีก

คนต้องคนให้ทั่ว ตั้งแต่หัวถึงตีน จึงจะเรียกว่า “เป็นคน”