นงนุช สิงหเดชะ/ถอดรหัสคำพูด “สุรนันทน์” อันเนื่องมาจากคดีทุจริตจำนำข้าว

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ถอดรหัสคำพูด “สุรนันทน์” อันเนื่องมาจากคดีทุจริตจำนำข้าว

25 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อเป็นวันกำหนดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตจำนำข้าว ซึ่งทุกฝ่ายต่างตั้งตารอคอยว่าผลจะออกมาทางไหน และเมื่อผลออกมาแล้วปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร จะสั่นสะเทือนถึงขนาดทำให้การเมืองร้อนระอุขึ้นมาอีกกระทั่งส่งผลต่อโรดแม็ปการเลือกตั้งหรือเปล่า

ในวันนั้นความสนใจพุ่งไปที่ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาละเลยปล่อยให้มีการทุจริต แต่สุดท้ายข่าวที่ใหญ่ยิ่งกว่าก็คือคุณยิ่งลักษณ์ไม่ยอมมาปรากฏตัวที่ศาลเพื่อฟังคำพิพากษา โดยให้ทนายแจ้งต่อศาลว่าป่วย ทำให้ศาลต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีของคุณยิ่งลักษณ์ไปเป็นวันที่ 27 กันยายน พร้อมกับออกหมายจับเพื่อตามตัวมาฟังคำพิพากษา

ส่วนคดีของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพวกรวม 28 คน ซึ่งมีทั้งนักการเมือง ข้าราชการและพ่อค้า ศาลได้อ่านคำพิพากษา เพราะจำเลยมาฟังคำพิพากษา

ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย อาทิ นายบุญทรง 42 ปี นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ 36 ปี เป็นต้น

การที่คุณยิ่งลักษณ์หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ค่อนข้างจะสร้างความประหลาดใจเพราะผิดคาดหมาย โดยเฉพาะในกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์

เพราะเพียง 1-2 วันก่อนถึงวันอ่านคำพิพากษา เธอยังมีความเคลื่อนไหว โดยโพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพทำบุญที่บ้าน และส่งข้อความถึงมวลชนไม่ต้องมาที่ศาล ขอให้รอฟังคำตัดสินอยู่ที่บ้าน ทำเสมือนหนึ่งให้ตายใจว่าเธอจะไม่หนี จะยอมตายเพื่อประชาธิปไตย จะเป็นวีรสตรีของมวลชน

มีการตั้งข้อสังเกตจากบางฝ่ายว่าการที่กลุ่มของนายบุญทรงและพวก มาฟังคำพิพากษานั้นก็จะน่าเชื่ออย่างตายใจว่าคุณยิ่งลักษณ์จะมาฟังคำตัดสินแน่ ในทำนอง “หัวขบวนจะไม่ทิ้งลูกน้อง”

แต่สุดท้ายคุณยิ่งลักษณ์ก็หนีในนาทีสุดท้ายแบบเงียบกริบไม่มีใครเอะใจ (ยกเว้นคนใกล้ชิดสุด+ผู้วางแผน)

หลังคำพิพากษาออกมาว่านายบุญทรง ถูกตัดสินจำคุก 42 ปี นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยและอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรียุคคุณยิ่งลักษณ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจนายบุญทรง โดยเล่าว่าตัวเขาเองกับนายบุญทรงรู้จักกันตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคไทยรักไทย บุญทรงเป็นคนหนุ่มตั้งใจดี อยากเห็นบ้านเมืองก้าวหน้า

ประเด็นน่าสนใจอยู่ตรงส่วนที่นายสุรนันทน์ระบุว่า

“จนเพื่อนได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผมเป็นเลขาธิการนายกฯ ได้เจอกันบ้าง แวะไปคุย เห็นเพื่อนแฟ้มเต็มโต๊ะ ยังเป็นห่วง “ใครดูให้มึง แต่ละเรื่องน่ากลัว” ผมแอบพลิกแฟ้มดู

“กูมีทีม” แล้วชวนทานข้าวจากโรงอาหาร หน้าห้องสั่งมาให้ ยังคงความเป็นคนง่ายๆ ที่ผมรู้จัก ถึงแม้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ เวลานายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศ บางทีได้คุยกัน ได้ปรับทุกข์ผูกมิตรกันมากกว่าอยู่กรุงเทพฯ

แต่ในแววตา “เพื่อน” มีความกังวลช่วงวิกฤต ผมมีงานหลายด้าน แต่ก็ไม่วายห่วงเพื่อน ส่งเรื่องจากทำเนียบก็คอยเตือนว่าเรื่องไปแล้วรีบจัดการ เราเป็นเพียง “เสมียน” ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด แต่รู้สึกเสมอว่าเพื่อน “ไม่สบายใจ”

หลังพายุพัดผ่าน รัฐประหารไปแล้ว เคยนั่งจิบไวน์คุยกันสองคน ผมถาม “มึงเล่าให้กูฟังหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง”

ผมนับถือน้ำใจมันที่ตอบ “กูพูดไม่ได้”

เราร่ำสุราจนดึก แล้วไม่แตะเรื่องนั้นอีกเลยทางการเมือง บางเรื่อง “ต้องตายไปกับเรา” พูดไม่ได้ ผมเข้าใจดี และผม “เห็นใจ” เพื่อน ที่ต้องเข้าไปติดกับ “เงื่อนไข” นั้น ผมอาจจะ “โชคดี” กว่า ที่ยังรักษาความเป็นตัวของตัวเองได้ และ “เพื่อน” ไม่ “โชคดี” เท่า

โพสต์ของนายสุรนันทน์ข้างต้น อาจคือคำตอบส่วนหนึ่งที่ว่าทำไมบุญทรงและพวกจึงถูกพิพากษาจำคุกหลายสิบปี เพราะตรงที่ระบุว่า แอบพลิกดูแฟ้มเพื่อนแล้วถามว่า “ใครดูให้มึง แต่ละเรื่องน่ากลัว” ก็น่าจะหมายความว่าเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลในงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายบุญทรง ที่ทำให้นายสุรนันทน์เป็นห่วง

หรือตรงที่พูดว่าช่วงวิกฤต เห็นแววตาเพื่อนมีความกังวล ผมเป็นห่วงเพื่อน ก็คอยส่งเรื่องจากทำเนียบคอยเตือนว่าเรื่องไปแล้วรีบจัดการ “เราเป็นเพียงเสมียน ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด แต่รู้สึกเสมอว่าเพื่อนไม่สบายใจ”

รวมทั้งท่อนที่ว่า หลังรัฐประหาร (2557) ผ่านพ้นไป เคยนั่งจิบไวน์กันสองคน ผมถามไปว่า “มึงเล่าให้กูฟังหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง” ผมนับถือมันที่ตอบว่า

“กูพูดไม่ได้”

เรื่องที่นายสุรนันทน์ห่วง ไม่น่าจะเป็นเรื่องอื่นไปได้นอกจากจำนำข้าว

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหตุที่นายบุญทรง “พูดไม่ได้” นั้นเป็นเพราะไม่อยากพาดพิงถึงใครสักคนที่นายบุญทรงเห็นว่ามีบุญคุณ เพราะอย่าลืมว่าช่วงที่เรื่องจำนำข้าวอื้อฉาวขึ้นมานั้นมีการแฉว่ามี “ผู้ทรงอิทธิพลนอกรัฐบาล” (และอยู่เหนือรัฐบาล) เข้ามายุ่มย่ามสั่งการ หาประโยชน์จากการจำนำข้าว จนเกิดอักษรย่อ “เจ๊นั่นเจ๊นี่”

คำรำพึงท่อนท้ายๆ ของนายสุรนันทน์ที่ว่า “ผมอาจโชคดีกว่าที่รักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้ แต่เพื่อนไม่โชคดีเท่า” ก็ย่อมบ่งบอกว่าเหตุที่บุญทรงต้องโดนหนักขนาดนี้ เพราะขาดความเป็นตัวของตัวเอง หากแต่ทำตามคำบงการของบางคนที่อยู่เหนือกว่าเขาทั้งที่รู้ว่าผิด

นัยยะจากนายสุรนันทน์ยังอาจเป็นเครื่องชี้ว่าการทุจริตรับจำนำข้าวนั้น เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงล้วนๆ เป็นเรื่องที่มีมูล ไม่ได้เกิดจากการกลั่นแกล้งของฝ่ายตรงข้ามเพื่อโค่นล้มตระกูลชินวัตรแต่ประการใด

โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด เป็นความคิดของ คุณทักษิณ ชินวัตร จนเกิดประโยคกระหึ่มว่า “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ”

ส่วนคุณยิ่งลักษณ์เองนั้น ต้องยอมรับว่าเธอไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง 100% เพราะเชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วเธอก็ต้องฟังคำสั่งจากพี่ชาย และเมื่อเกิดการทุจริตขึ้น เธอก็ต้องรับเคราะห์ไปด้วย

ดังนั้น จาก “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” ก็ถึงเวลาที่ “ทักษิณต้องพายิ่งลักษณ์หนี”

ตอนแรกมวลชนผิดหวังที่คุณยิ่งลักษณ์หนี เพราะอยากให้เธอเป็น ออง ซาน ซูจี แต่พอตั้งหลักได้ก็เริ่มเปลี่ยนท่าที ในทำนองว่าถูกต้องแล้วที่หนี โดยหาข้ออ้างเดิมมารองรับคือกระบวนการยุติธรรมไม่ตรงไปตรงมา เพราะอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ

บางคนไปไกลถึงขนาดที่ตำหนินายบุญทรงว่าเป็นเหตุให้คุณยิ่งลักษณ์เดือดร้อน ซึ่งก็แปลกดีที่คนเรารักและลุ่มหลงบางอย่างได้มากขนาดนี้