กระพือข่าว ศก. ฟื้นแล้ว ไฉนชาวบ้านไม่รู้ว่าดีสักนิด มาร์คโพล ฟันธง ไม่น่าพอใจ

เสียงตะโกน “รักลุงตู่ๆ” จากคลื่นมหาชนบ้านเกิดของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดังลั่นไปรอบอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ในวันที่นำคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 21-22 สิงหาคมที่ผ่านมา

แม้แรงรักแรงเชียร์ของ “บิ๊กตู่” จะมากเพียงใด

แต่เมื่อมาเจอกับคลื่นหลายลูกที่โหมกระหน่ำซัดเข้ามาก็ไม่รู้ว่ารัฐบาล คสช. จะเอาอยู่หรือไม่

คลื่นลูกแรก อย่างผลโพลประเมินความพึงพอใจผลงานรัฐบาล 3 ปี ของหลายสำนัก ที่ดูจะเป็นหอกข้างแคร่ทิ่มแทงใจให้รัฐบาล คสช. ร้อนรนได้

อย่างกรุงเทพโพลล์ บอก คะแนนการทำงานในช่วง 3 ปี เฉลี่ย 5.83 คะแนน ลดลงจากการทำงานรอบ 2 ปี ที่ได้ 6.19 คะแนน ไม่ใช่แค่การทำงานของรัฐบาล แต่ด้านความมั่นคง การบังคับใช้กฎหมาย สังคม คุณภาพชีวิต ต่างประเทศ เศรษฐกิจ รวมไปถึง “บิ๊กตู่” ก็ดิ่งลงไม่ต่างกัน

แค่นี้คงยังสาแก่ใจไม่พอ เพราะผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนกว่า 1,000 คน ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า “มาร์คโพล” ถามเกี่ยวกับผลงานของ คสช. และรัฐบาล ผ่านระบบไลน์ พบว่า ประชาชนร้อยละ 60.7 พอใจผลงานในด้านความสงบเรียบร้อย

แต่เศรษฐกิจและการปฏิรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาล คสช. ทุ่มเททั้งงบประมาณ และจำนวนคนไปมากมาย กลับไม่เป็นที่น่าพอใจของประชาชนเสียเลย

สอดรับกับตัวเลขผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เปรียบเสมือนหินผาที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่แค่ไหนก็มีกำไรมาตลอด แต่วันนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2 กลับลดลงจนน่าตกใจ

ผู้บริหารปลากระป๋องไฮคิว ที่เจาะตลาดระดับล่าง ให้สัมภาษณ์ว่า ยอดขายครึ่งปีแรกติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ธุรกิจค้าปลีกบางแห่งอย่างเครือเซ็นทรัลยังบอก ต่างจังหวัดอยู่ในสถานการณ์ชะลอตัว เพราะกำลังซื้อหดหาย

ต้องเร่งระดมกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง ลด แลก แจก แถมกันเข้าไป

ด้านบนยังสั่นสะเทือนขนาดนี้

แล้วระดับรากหญ้าจะโอดครวญกันแค่ไหน

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คลื่นอีกลูกก็ซัดรัฐบาล คสช. ให้ทรุดลงอีกระลอก ทั้งเหล่านักวิชาการ นักการเมือง ที่อดรนทนไม่ไหว มาร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีโต๊ะกลมสาธารณะ เรื่อง “บ้านเมืองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” อย่างน่าสนใจ

“รัฐบาลต้องทำให้คนมีงานทำ มีอาชีพมีรายได้ แต่การจัดระเบียบไล่คนค้าขายข้างถนนทำให้คนในกรุงเทพฯ ตกงานจำนวนมาก รัฐบาลกวาดคนเหล่านี้ออกจากระบบเศรษฐกิจ เป็นผลทำให้กำลังซื้อให้สังคมตกลงมาก และมีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงมากเกินไป กำลังซื้อคนชั้นกลางติดหล่มจากนโยบายรถคันแรกและบ้านหลังแรก พยายามแก้ด้วยการใช้งบประมาณรัฐบาลแต่ก็ไม่พอ พยายามให้นักธุรกิจไทยลงทุนในประเทศ แต่นักธุรกิจก็ไปลงทุนประเทศอื่นด้วยแรงงานราคาถูก”

คำพูดของ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว แถมยังบอกด้วยว่า ขณะนี้คนไทยกว่าร้อยละ 80 ไม่มีกำลังซื้อ ภาคอุตสาหกรรมก็มีกำลังผลิตที่มากเกินไป แต่ราคาสินค้าเกษตรกลับตกต่ำ

ด้าน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย บอกว่า เพราะเรื่องเศรษฐกิจ พืชผลการเกษตรราคาตกเป็นประวัติการณ์ แต่รัฐบาลก็ยังเหมือนไม่รับรู้

ในเวทีเดียวกัน นายเกียรติ สิทธีอมร จากพรรคประชาธิปัตย์และอดีตผู้แทนการค้าไทย ระบุว่า ปัญหาใหญ่สุดของไทยคือการลงทุนที่ถดถอย วันนี้ดอกเบี้ยเงินฝากแค่ 0.5 บาทต่อปี แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้กลับสูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิกถึง 7.5 บาท ทั้งที่ผู้กู้ส่วนใหญ่ 80% คือคนจน

ดอกเบี้ยโหดทำให้คนเหล่านี้ไม่มีกำลังซื้อ

ด้าน “บิ๊กตู่” เมื่อเจอคลื่นโพลทั้งหลายซัดใส่ ก็ยังไม่หวั่นออกมาให้สัมภาษณ์ชัดๆ เลยว่า การทำงานที่ผ่านมารัฐบาลทำไปไม่ต้องให้เครดิตใดๆ เพราะไม่หวังคะแนน ส่วนผลโพลต่างๆ ที่คะแนนลดลงก็ไม่ท้อแท้ แม้จะเหลือแค่ 0 เปอร์เซ็นต์ก็ยังอยู่ต่อไปตามกฎหมาย และแม้ว่าจะเหนื่อย แต่เมื่อได้ทำงาน และพบประชาชนก็จะหายเหนื่อยแล้ว

ก็ไม่รู้ว่า “บิ๊กตู่” จะหลงดีใจไปกับคลื่นมวลชนคนให้กำลังใจ จนลืมดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่

เพราะจากคำพูดระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา ที่บอกว่า ปีนี้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่ไตรมาสแรกถึงไตรมาส 3 โดยมีการคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี โตถึงร้อยละ 3.5 ถึง 4.0 ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน ทั้งภาครัฐภาคเอกชน ภาคธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ

ด้าน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ก็บอกว่า เป็นการขยายตัวที่เกินคาดและสูงสุดในรอบ 17 ไตรมาส

ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างที่นายกรัฐมนตรีและนายสมคิดกล่าวมา ทำไมประชาชน นักวิชาการ นักการเมือง รวมถึงผลโพลถึงออกมาเป็นแบบนั้น

ทุกวันนี้รัฐบาลลงทุนมีโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ออกมาจำนวนมาก ทั้งยัดอัดฉีดเงินผ่านโครงการต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอย แต่หลายฝ่ายก็บอกว่า ยังไม่ดีขึ้น แม้นายกรัฐมนตรีจะออกมาบอกว่ารู้ปัจจัยที่ต่างประเทศไม่ยอมมาลงทุนเพราะต้นทุนที่สูง

แต่การแก้ปัญหาสิ่งเหล่านี้ให้ยั่งยืนต่างหากที่ประชาชนอยากเห็น

และหากเป็นไปตามที่ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว ทั้งไทยและของโลก แต่ยังมีหลายปัจจัยที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขหลายประการ

อย่างแรก การส่งออกที่กระจายตัวมากขึ้น แต่ก็ยังกระจุก แถมเจอผลกระทบจากภัยแล้ง น้ำท่วมที่ผ่านมา โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ทำเอาฟื้นตัวลำบาก

ประการต่อมา การส่งออกมากขึ้นก็จริงแต่การจ้างงานไม่ได้เพิ่มตามมาด้วย ส่งผลต่ออำนาจการซื้อไม่ชัดเจน

ประการที่สาม คนไทยเป็นหนี้เร็วขึ้น เป็นหนี้มากขึ้น เป็นหนี้นานขึ้นจนใกล้เกษียณแล้วหนี้ก็ยังไม่ลด เมื่อรัฐบาลกระตุ้นใส่เงินอะไรเข้าไป คนพวกนี้ก็จะเอาไปชำระหนี้หมด ทำให้เงินเหล่านี้ไม่ได้ไปหมุนเข้าในระบบเศรษฐกิจเหมือนสมัยก่อน

และสุดท้าย ปัญหาของกลุ่มเอสเอ็มอี ที่ไม่สามารถขอสินเชื่อในการลงทุนได้ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน

ปัญหาเหล่านี้ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้า เอสเอ็มอี ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ไม่อาจบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเศรษฐกิจในยุค คสช. นั้นดีขึ้นแล้ว

เศรษฐกิจ จึงนับเป็นโจทย์ใหญ่ เป็นคลื่นลูกยักษ์ ที่ส่งผลร้ายต่อ คสช. มาตลอด เพราะแก้อย่างไรดูปัญหาก็ยังไม่หมดไปเสียที แต่ถึงอย่างไร ท่านนายกฯ ก็อย่าเพิ่งไปประกาศให้คนรัก “ลุงตู่” ดีใจเก้อจนกว่าเศรษฐกิจจะดีจริง จนกว่าประชาชนจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจริงแล้วค่อยบอกก็ยังไม่สาย

เดี๋ยวคนรักจะกลายเป็นคนชัง โดยไม่รู้ตัว!!