ฐากูร บุนปาน : ใครว่าคุณธรรมขายไม่ได้ ? มาดูที่เมืองไทยสิ!!

อนุสนธิจากกรณีที่มีตำรวจใหญ่และคุณหมอใหญ่ ออกมาแถลงข่าวโครมครามว่า

ต่อไปนี้ ใครโพสต์รูปคู่กับสุราจะถูกจับ-ปรับ 2 แสนบาท

(แพงกว่าโทษเมาแล้วขับที่ปรับ 2 หมื่นเสียอีก)

เป็นแค่ตัวอย่างล่าสุด และยอดภูเขาน้ำแข็ง

ของความเป็น “รัฐคุณธรรม” ของรัฐบาล

(และลิ่วล้อ)

จะเพราะด้วยความเชื่อส่วนบุคคลอย่างบริสุทธิ์ใจ

(ว่าตัวเอง-พรรคพวกตัวเอง ดีงามกว่า บริสุทธิ์กว่า ซื่อสัตย์กว่า ฯลฯ บรรดานักการเมืองทั้งหลาย รวมทั้งชาวบ้านผู้โง่เง่าเต่าตุ่นไม่รู้อีโหน่อีเหน่)

หรือเพราะ “อ่านขาด” ว่าสังคมไทย (โดยเฉพาะชนชั้นกลางในเมืองที่เสียงดังกว่ากลุ่มอื่น) นั้นชอบอะไรดราม่า

ชอบชนชั้นปกครองที่แสดงตัวว่า “มีคุณธรรม” (ทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ค่อยได้)

ภารกิจหลักประการหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ตั้งแต่ยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา

จึงเป็นการสถาปนาและสำแดงคุณธรรมในรูปแบบต่างๆ สารพัด

ทั้งคำพูด การโฆษณาชวนเชื่อ รวมไปถึงการประกาศบังคับใช้กฎหมาย ต่อเนื่องกันแบบเป็นชุด

เทศนาสั่งสอนในแทบทุกเรื่อง

แสดงความห่วงใยโน่นนี่ (ที่เข้าท่าบ้าง ออกทะเลบ้าง) สารพัด

แต่มากที่สุดก็คือออกกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับ

มาสั่งให้เราทำหรือไม่ทำอะไร

ทีนี้พอหัวส่าย หางก็กระดิก

และส่วนใหญ่กระดิกเกินเสียด้วย

เพราะในรัฐที่ “อำนาจ” เป็นใหญ่

(ที่แปลว่าการตรวจสอบถ่วงดุลทำได้น้อยหรือทำไม่ได้เลย)

คนข้างล่างต้องเดาใจคนข้างบนเอาไว้ก่อน ว่าทำอะไรถึงจะเป็นที่โปรดปราน (เพื่อที่จะนำมาสู่ลาภยศของตัวเองในภายหลัง)

ฉะนั้น กฎหมายหรือมาตรการที่ออกมาส่วนใหญ่

จึงมีแนวโน้ม “เกิน” มากกว่า “ขาด”

เพื่อเอาใจนายไว้ก่อน

ส่วนชาวบ้านช่างหัวมัน

หลายครั้งหรือบ่อยครั้งกฎหมายหรือระเบียบที่ออกมา ในนามของความปรารถนาดีบ้าง ความรู้ดี (กว่าคนอื่นๆ) บ้าง

จึงเหมือนการเอาไม้หน้าสามฟาดหน้าชาวบ้านดื้อๆ

ถามว่า มนุษย์ที่ไหนหรือใครจะยอมให้เจ็บตัวฟรี

ฟาดคืนไม่ได้ (เพราะเกรงใจปืน)

ขอให้ได้ร้องโวยวายก็ยังดี

และวิธีโวยวายที่ได้ผลที่สุด

คือการด่าเจ้าของหมา แทนที่จะลดตัวลงไปกัดกับหมา

ถูกด่ามากๆ เข้า เจ้าของหมา (หรือส่วนหัว) ก็อยู่ไม่ไหวเหมือนกัน

ไม่อย่างนั้นจะมีกรณีการใช้ ม.44 เข้ามายกเลิก ผ่อนผัน หรือเลื่อนการใช้กฎหมายหรือระเบียบที่ตัวเองหรือลิ่วล้อสร้างมากับมือหรือ

มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว

ตั้งแต่เรื่องนั่งท้ายกระบะ

ไปถึงแรงงานต่างประเทศ

หนนี้หางกระดิกแรงอีกแล้ว

และแรงแบบเลอะเทอะอีกเหมือนเดิม

เพราะเอากฎหมายข้ามเส้นมาถึงเรื่องคุณธรรม

ในนามของความปรารถนาดี ท่านพยายามใช้อำนาจจัดรูปร่างสังคม และพฤติกรรมของคนให้เป็นไปในทางที่ตัวเองต้องการ

ซึ่งเกินหน้าที่ของกฎหมายไปไกล

ถ้าจะอ้างว่า ทำไปเพราะเป็นห่วงชาวบ้าน

เกรงจะติดเหล้าเมายา เพราะแรงโฆษณาชวนเชื่อ

ก็มีคำถามว่า อย่างนั้นเลิกขายเหล้าขายเบียร์ไปเลยจะดีกว่าไหม?

หรือเลิกไม่ได้เพราะติดอะไร-เกรงใจใคร?

กฎหมายอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะให้มีบังคับใช้ได้จริง เป็นคุณมากกว่าเป็นโทษ

ก็ต้องพอดี เหมาะสม และชัดเจน

ไม่ใช่พอเป็นเรื่องสีเทา

กฎหมายก็เลยพลอยเทาไปด้วย

ไอ้นี่แหละจะยิ่งกลายเป็นเครื่องมือหากินของเจ้าหน้าที่

เหมือนที่กฎหมายแรงงานต่างประเทศ

กำลังสร้าง “นาทีทอง” ให้ใครบางคนอยู่ตอนนี้

เหมือนอีกหลายๆ กรณี

หนนี้พอถูกด่าหนักเข้า คุณหมอใหญ่อีกท่านก็ค่อยออกมาอธิบายว่า

ห้ามแต่การโพสต์โฆษณา

กินดื่มธรรมดา หรือโพสต์ว่ากินดื่มอะไร ท่านไม่ห้าม

แต่กฎหมายยังไม่ได้แก้นะครับ

และความคลุมเครือก็ยังอยู่ต่อไป

เพราะรัฐ-ผู้นำ และลิ่วล้อยังใช้คุณธรรมเป็น “เครื่องมือหากิน” (เนื่องจากรู้ว่าขายได้)

ฉะนั้น ต่อให้กฎหมายนี้ต้องเลื่อนไป ยกเลิกไป

เชื่อขนมกินได้ว่าอีกไม่นานก็จะมีกฎหมายใหม่ในทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นมาอีก

ใครว่าคุณธรรมขายไม่ได้

มาดูงานเมืองไทยสิครับ

รับประกันความฮา!!